“ภิกษุเอ๋ย ตัวเธอได้บวชเข้ามาในศาสนาที่สามารถนำผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์ได้ แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นคนเกียจคร้านไปได้ ในสมัยก่อน บัณฑิตทั้งหลาย แม้จะโดนยึดราชสมบัติก็ยังตั้งมั่นอยู่ในความเพียรที่ไม่ท้อถอยก็สามารถทำยศที่สลายไปให้กลับคืนมาได้”
จากนั้นได้ทรงนำเรื่องราวในอดีตชาติมาตรัสเล่าให้ฟัง ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตได้เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระองค์มีพระราชโอรสพระนามว่า “สีลวกุมาร” เมื่อพระชนมายุ ๑๖ พรรษาทรงสำเร็จการศึกษาและได้รับตำแหน่งกษัตริย์ต่อจากพระราชบิดา ได้รับการเฉลิมพระนามว่า “มหาสีลวราช”
พระองค์เป็นพระธรรมราชาครองราชย์โดยธรรม ต่อมามีอำมาตย์ผู้หนึ่งได้ลักลอบเข้าไปมีความสัมพันธ์กับสนมของพระองค์ในเขตพระราชฐานชั้นใน จึงทรงมีรับสั่งให้เนรเทศเขาพร้อมครอบครัวออกไปจากแว่นแคว้นของพระองค์ทันที อำมาตย์ผู้นั้นออกจากเมืองเข้าไปรับราชการอยู่กับพระเจ้าโกศลในแคว้นโกศลแล้วกราบทูลยุยงให้ไปยึดราชสมบัติ พระเจ้าโกศลทรงหลงเชื่อจึงยกทัพไปล้อมเมืองพาราณสีเอาไว้
พระเจ้าพาราณสีมีนักรบฝีมือเยี่ยมประมาณ ๑,๐๐๐ นาย เมื่อนักรบเหล่านี้ได้ข่าวว่า พระเจ้าโกศลยกทัพมาก็กราบทูลขออนุญาตไปจับตัวพระเจ้าโกศล แต่พระเจ้ามหาสีลวราชได้ ตรัสห้ามไว้เพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นต้องมาเสียชีวิตเพราะพระองค์ จึงยอมให้พระเจ้าโกศลยึดเมืองในที่สุด พระเจ้าโกศลยึดอาณาจักรแคว้นกาสีได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเสียไพร่พลแม้แต่คนเดียว มีรับสั่งให้จับมัดพระเจ้าสีลวมหาราชพร้อมนักรบฝีมือเยี่ยมทั้งหมด ทรงสั่งให้เอาออกไปฝังไว้ที่ป่าช้าให้โผล่ออกมาเฉพาะศีรษะเพื่อให้สุนัขจิ้งจอกกัดกิน แม้จะได้รับความอัปยศเช่นนั้น แต่พระเจ้าสีลวราชก็มิได้ทรงทำความอาฆาตแม้แต่น้อยนิดในพระราชาผู้เป็นศัตรูต่อพระองค์
ในขณะที่ถูกฝังทั้งเป็นพระองค์กลับตรัสสอนนักรบคู่พระทัยของพระองค์ให้แผ่เมตตาต่อพระราชาผู้เป็นข้าศึก ดึกสงัดในเวลาเที่ยงคืน เมื่อฝูงหมาจิ้งจอกได้ออกมาหากิน พระราชาพร้อมนักรบของพระองค์ได้เปล่งเสียงลั่นพร้อมกันทำให้พวกสุนัขตกใจหนีไป ไม่นานนัก พวกมันก็พากันกลับมาอีก หัวหน้าสุนัขจิ้งจอกได้ตรงเข้ากัดที่พระศอของพระราชาทันที พระองค์เงยพระเศียรขึ้นแล้วใช้พระหนุกดปากสุนัขจิ้งจอกไว้ ทำให้มันตกใจร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดใช้เท้าตะกุยดินทำให้ดินที่ฝังพระองค์เกิดการหลวมขึ้น ช่วยทำให้พระองค์หลุดออกมาได้และช่วยเหล่าทหารองครักษ์ของพระองค์จากที่ฝังในป่าช้านั้นเอง
พวกยักษ์ได้ทะเลาะกันเพราะแย่งกันกินศพจึงได้มาขอร้องให้ พระเจ้าสีลวะทรงตัดสิน แต่พระองค์บอกว่าไม่สามารถตัดสินได้ในขณะที่เนื้อตัวสกปรก พวกยักษ์จึงนำของใช้ต่าง ๆ ของพระเจ้าโกศลมาให้พระองค์ใช้สอยรวมทั้งพระขรรค์มงคลที่พระราชาผู้เป็นโจรทรงวางไว้ที่หัวนอน
พระเจ้าสีลวะจึงทรงใช้พระขรรค์ตัดศพแบ่งครึ่งให้แก่ยักษ์ เมื่อยักษ์กินศพอิ่มแล้วจึงสำนึกถึงบุญคุณของพระราชาที่ทำให้พวกตนไม่ต้องทะเลาะกัน จึงทูลพระราชาว่าจะให้พวกมันทำอะไร พระองค์จึงขอร้องให้พาพระองค์ไปในห้องบรรทมของพระราชาผู้เป็นข้าศึก เมื่อไปถึงวัง
พระเจ้าสีลวราชทรงเอาพระขรรค์เคาะไปที่พระอุทรของพระเจ้าโกศลผู้กำลังบรรทมหลับเหนือพระแท่น ท้าวเธอตกพระทัยสะดุ้งตื่นและยิ่งแทบเสียสติเมื่อพบพระมหาสีลวราชประทับยืนอยู่เหนือพระองค์ เมื่อทราบเรื่องราวทั้งหมดจึงสลดพระทัยทูลว่า “มหาราช แม้แต่ยักษ์ผู้ดุร้ายยังรู้จักสำนึกในบุญคุณของพระองค์ แต่หม่อมฉันที่ เป็นมนุษย์กลับไม่รับรู้ถึงคุณความดีของพระองค์เลย”
พระเจ้าโกศลทำการขอขมาต่อพระเจ้าสีลวะทรงสาบานว่าจะไม่คิดร้ายอีกต่อไป เมื่อสว่างแล้วก็ทรงสั่งให้ตีกลองเรียกประชุมเหล่าข้าราชบริพาร ตรัสสรรเสริญพระคุณของพระเจ้ามหาสีลวราชเหมือนทรงชูดวงจันทร์เพ็ญในอากาศข้างหน้าของคนเหล่านั้น
จากนั้นได้มอบถวายคืนราชสมบัติและรับเป็นพระราชภาระที่จะช่วยขจัดภัยอันจะเกิดขึ้นแก่บัลลังก์ของพระเจ้าสีลวราช ทรงมีรับสั่งให้ลงอาญาแก่อำมาตย์ผู้ส่อเสียด จากนั้น จึงถวายบังคมลากลับเมืองของพระองค์ ฝ่ายพระเจ้ามหาสีลวราชทอดพระเนตรสมบัติของพระองค์ทรงดำริว่า สมบัติอันยิ่งใหญ่รวมทั้งชีวิตขอนักรบทั้งหมดได้มาเพราะกำลังแห่งความเพียร บุคคลจึงไม่ควรสิ้นหวังท้อแท้ ควรจะทำความเพียรอย่างเดียว เพราะผู้ที่บากบั่นย่อมสำเร็จผลอย่างนี้ จากนั้นได้ตรัสคาถาการอุทานว่า บุคคลผู้ฉลาดควรมุ่งหวังไปจนกว่าจะสำเร็จผลตามที่ตั้งใจไว้ไม่ควรท้อแท้ ขอให้ดูเราเป็นตัวอย่าง เรามุ่งหวังสิ่งใดก็ได้อย่างนั้น
พระพุทธเจ้าครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า “อำมาตย์ชั่วในครั้งนั้นคือเทวทัตในบัดนี้ นักรบ ๑๐๐๐ คนคือพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้ามหาสีลวมหาราชคือเราตถาคตเอง”
dhammajak.net