ปัญญาที่แท้จริงทำให้ไม่หลงยึดติด....
ความติดนี่มันเป็นทุกข์...เมื่อไม่ติดมันก็ไม่เป็นทุกข์
เรามีอะไร เราใช้อะไร โดยไม่ต้องติดจะได้หรือไม่...ได้
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าได้ ใช้โดยไม่ติด รับโดยไม่ติดในสิ่งนั้น
เราทำอย่างไร....? เราก็....ใช้ปัญญาพิจารณาไว้ให้รู้ว่า...
รูป...นั้นคืออะไร ?
รูป...นั้นเป็นของจริงแท้หรือไม่ ?
เสียง...มันมีจริงมีแท้ไหม ?
หรือมันเป็นเพียงแต่ลมผสมกันเข้ากับความอยากในจิตใจ
เปล่งเสียงออกมาเป็นคำด่าคำชมคำติว่าอะไรต่างๆ...
แล้วมันคงทนถาวรหรือเปล่า...มันก็หายไป
เสียงพูดเข้าไมโครโฟนแล้วมันก็หายไป พอหยุดพูดมันก็ไม่มี
เสียง พอพูดต่อเสียงมันก็มาต่อไป...'เสียง' ไม่ได้เกิดก่อน
หรือเกิดหลังการพูด แต่มันเกิดพร้อมกันพอพูดปุ๊บ
มันก็เข้าไปในไมโครโฟนทันที
แล้วเข้าเครื่องออกไปเป็นเสียงดังฟังทั่ววัด...
เสียงนั้นมันไม่ใช่ของแท้ มันเป็นของผสมปรุงแต่งจึงเกิด
เป็นเสียงขึ้น ถ้าเราฟังว่ามันดี...ก็อย่าไปยึดถือ
ไม่ดี...ก็อย่าไปยึดถือ อย่าไปยินดีในเสียงนั้น
อย่าไปยินร้ายในเสียงนั้น ให้มีปัญญารับด้วยปัญญา...
ก็คือรับว่าเสียงนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา แต่เสียงนี้เป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ ถ้าเราเข้าไปยึดทุกข์ไหม? ถามตัวเองอย่างนั้น
ถ้าเรามีปัญญาก็ตอบว่า ไม่ควรจะเข้าไปยึดถือเสียงนั้น...
แต่ควรรู้จักมันไป ดูมันไป มันเคลื่อนไหวไปในทางไหน
เราก็ดูตามมันไป เหมือนเราแอบดูผู้ร้ายเข้าบ้านแอบดูไว้ว่า
มันไปทางไหน...มาทางไหน แล้วก็แอบโทรฯ ไปบอกตำรวจ
ตำรวจก็จับเอาไป เรามีสติปัญญาก็ใช้อย่างนั้น...
คอยกำหนดมันไว้ว่าอะไรเกิดขึ้น...
"ตา"...เห็นรูป เกิดความรู้สึกทางตา แล้วก็เกิดอะไรต่อไป
ตามลำดับจนเกิดความยึดมั่นในสิ่งนั้น นั่นเป็นความผิด
จะเพิ่มความทุกข์ให้แก่ตัวเราเอง เราก็ไม่ยึด...
แต่ว่าเรารู้ว่ามันคืออะไร...
มองตลอดสายสายตั้งแต่ต้น...กลาง...ปลาย
รู้หมดว่ามันคืออะไร...มันจะทำอะไรให้เกิดขึ้น ก็ปล่อยให้
มันเกิดไปตามเรื่อง ดับไปตามเรื่องของมัน
เราอย่าไปเก็บไว้ อย่าไปกักไว้....ฯ
ขอบคุณธรรมะ โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ