เมื่อปล่อยให้มันหลงใหลไปตามรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
แล้วใจอันนี้ จิตอันนี้ มันก็หลงมากระทั่งวัน กระทั่งคืน
ตลอดตั้งแต่เกิดจนแก่ ตั้งแต่แก่จนตาย
หลงใหลมาอย่างนี้ นับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว
เมื่อภาวนาทำความเพียร เพียรแผดเผากิเลสในหัวใจอันนี้
ให้มันเบาบางหมดสิ้นไป ก็คือว่าเพียรเพ่งอยู่จำเพาะดวงจิตอันนี้
เตือนบอกดวงจิต ดวงที่มีความรู้สึกอยู่ภายในนี้ว่า
นอกจากจิตที่รู้อยู่ ตั้งอยู่ในขณะปัจจุบันนี้ออกไป
จะเป็นอดีต อนาคต ร้ายดีอย่างไร ไม่ต้องไปสนใจ เพราะไม่เที่ยงทั้งหมด
ไม่มีอะไรที่เป็นของเที่ยงมั่นถาวรอยู่ได้เลยในโลกนี้ เป็นทุกข์เปล่าๆ
นอกจากที่รู้อยู่นี้เป็นทุกข์ นอกจากที่รู้อยู่นี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา
แม้ที่รู้อยู่นี้ก็ยังไม่แน่เพราะยังมีอาสวกิเลสต่างๆ ห่อหุ้มเต็มดาษดื่นอยู่
จำเป็นต้องทำความเพียรแผดเผากิเลสในที่นี้
บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนา ในที่นี้
ในดวงจิตที่มีความรู้อยู่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เวลานี้
คอยระวังเสียงเข้ามาทางหู อย่าได้ไปตามมัน
รูปผ่านทางสายตา อย่าได้ตามมันไป
กลิ่นมาทางจมูก อย่าได้หลง
รสอาหารผ่านลิ้น อย่าได้หลงไป
เย็นร้อนอ่อนแข็งมาทางผิวกาย อย่าได้หลงไป
ความนึกคิดปรุงแต่งดีชั่วประการใด อย่าได้หลงไปตามอาการเหล่านั้น
ทำไมพระองค์จึงไม่ให้หลง พระองค์ให้รู้
ท่านว่าให้รู้อยู่หนึ่ง เดี๋ยวนี้
ท่านทั้งหลายรู้ไปรู้มาพอแรงแล้ว รู้ไปโน้น รู้ไปนี้
จะเอาอย่างโน้น จะเอาอย่างนี้
มันได้อะไร ก็ได้แต่ชาติ ชรา มรณะ
ตายเกิด ตายเกิด ตายอยู่ในโลกนี้ เห็นไหม
เพราะทุกคนเกิดตาย เกิดตาย อยู่เหมือนกับเสียง ตั้งขึ้นก็ดับไป
รูปตั้งขึ้นมันก็ดับไป มีความเกิดขึ้นที่ไหน ย่อมมีความดับไปในที่นั้น
ท่านให้รู้ธาตุรู้อันนั้น
มันเป็นคำบอกคำสอนของพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลาย
เมื่อท่านเตือนว่าท่านให้รู้ จิตของผู้ใด ผู้นั้นก็ให้รู้สึกตัว
อย่าไปมัวเมาตามอารมณ์ของจิต ตามสังขารของจิต ตามตัณหาของจิต
ตัณหา ท่านว่ากามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
คือตัณหาอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด
มันมีอยู่ในดวงใจนั่นแหละ
ที่จะเลิกได้ ละได้ อยู่ที่ความเพียรเพ่งอยู่
ความเพียรเพ่งอยู่ไม่หลงใหลไปตามตัณหาทั้งหลาย
แผดเผาตัณหาเหล่านี้ให้หมดไป สิ้นไป
ก็คือว่าไม่ตามตัณหา ความอยาก ความปรารถนา
อันบังเกิดในดวงจิตดวงใจนั่นเอง
มันจะมีความดิ้นรนวุ่นวายไปตามตัณหาอย่างใดก็ตาม
ให้สงบอยู่ ให้รู้อยู่ ให้แจ่มแจ้งอยู่ ณ ภายในดวงใจ
ท่านให้เห็นแจ้งลงไปในใจอันนี้
แล้วก็นอกใจออกไปก็ให้เห็นแจ้งในทุกสิ่ง
มันไม่มีอะไรเที่ยงมั่นถาวรอยู่อย่างนั้นตลอดไป ไม่มีเลย
แล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นสุขกายสบายใจตลอดเวลา ไม่มีเลย
มีแต่ทุกข์นั่นแหละ นั่งเป็นทุกข์ในนั่ง นอนเป็นทุกข์ในนอน
ยืนเป็นทุกข์ในยืน เดินไปมาเป็นทุกข์ในการเดินไปมา
พูดจาปราศรัย แสดงธรรม มันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นสุข
ที่เราสมมุติว่าอันนั้นเป็นสุข อันนี้เป็นสุข ไม่จริงทั้งนั้น
ถ้ามันสุขจริง ตายแล้วทำไมมันมาเกิด
มันไม่มีหรอกเรื่องสุข สุขนั้นมันเป็นความหลงของปุถุชนคนใบ้
พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านเห็นว่าเป็นเรื่องของความทุกข์
เป็นเรื่องของความไม่รู้ต่างหาก
ธรรมะ โดย หลวงปู่สิม พุทธาจาโร