"นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์" เป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเป็นต้นราชสกุล "อาภากร" ในวัยศึกษา พระองค์ทรงศึกษาวิชาทหารเรือในราชนาวีอังกฤษเป็นเวลาถึง 6 ปีเต็มจึงได้เสด็จกลับประเทศไทยและรับราชการในตำแหน่งต่างๆของกรมทหารเรือจนเจริญพระยศเป็นผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
จนกระทั่งพระชนมายุได้ 30 พรรษาเศษ ก็ทรงออกจากประจำการ ในขณะนั้นจึงทรงคิดว่าพระองค์เองทรงโปรดปรานในอาชีพหมอเป็นอย่างมาก เคยเสด็จขึ้นเขา เข้าป่าเพื่อเก็บสมุนไพรมาทำยาแก้ไข้ แก้โรคต่างๆมาก็หลายครั้ง ในแต่ละครั้งก็จะมี "หมอป๊อต" ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรติดตามไปถวายคำแนะนำอยู่เสมอ
ดังนั้น พระองค์จึงได้เสด็จไปหา "พระยาพิษณุประสาทเวช" หัวหน้าหมอหลวงเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ ไม่เพียงแต่พระยาพิษณุฯ เท่านั้นที่เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้พระองค์ ยังมีพระอาจารย์แพทย์ท่านอื่นๆอีกหลายท่าน เช่น หมอโบโตนี่ ชาวอิตาเลียน และ หมอมิตตานี่ ชาวญี่ปุ่น
พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าตำรายาไทยอย่างจริงจัง ถึงกับทรงสั่งกล้องจุลทรรศน์มาใช้ในการวิจัย ทรงมีห้องพิเศษเรียกว่า "ห้องเคมีวิทยาศาสตร์" ซึ่งมีเครื่องสกัดตัวยาที่ทรงสั่งเข้ามาจากต่างประเทศ เนื่องจากพระองค์ทรงโปรดการทดลองสกัดตัวยาจากสมุนไพร ด้วยพระองค์เอง ขณะทรงงานจะทรงแต่งองค์อย่างหมอฝรั่ง มีผ้ากันเปื้อน โดยมีพระโอรสและพระธิดาคอยช่วยถวายงานอยู่ด้วยเสมอ
เมื่อเริ่มแรกที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ทรงทำการรักษา คนไข้ที่มาไม่รู้จักว่าพระองค์เป็นใคร จนวันหนึ่งมีคนไข้คนหนึ่งถามชื่อของหมอ พระองค์ไม่โปรดที่จะเปิดเผยองค์จริง เพราะเกรงว่าคนไข้ทั่วไปหรือคนไข้ที่ยากจนจะไม่กล้ามารักษา ถ้าทราบว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าฟ้า จึงตรัสตอบคนไข้ผู้นั้นไปว่า ผมชื่อ "หมอพร" และทรงรับสั่งให้คนไข้เรียกแทนพระองค์ว่า "หมอพร" นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ในการเก็บค่ารักษา หมอพรจะเก็บแต่เพียงค่ายกครูตามธรรมเนียมเท่านั้น ไม่เคยคิดเก็บค่ารักษาเพิ่มเติม และผู้ที่ได้รับการรักษาจากพระองค์ก็มักจะหายดีในเวลาไม่นานแทบทุกราย จึงทำให้ชื่อเสียงของหมอพร เป็นที่รู้จักโด่งดังไปทั่วพระนครในเวลานั้น
"หมอพร" ทรงโปรดที่จะเสด็จไปรักษาผู้ป่วยตามย่านต่างๆ อยู่เสมอ คนไข้บางคนยากจน ไม่มีเงินจ้างรถพาไปรักษา หากพระองค์ทรงทราบก็จะเสด็จไปรักษาให้ โดยทรงใช้รถยนต์เล็กที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานให้มีชื่อว่า "เอนกพล" เป็นพาหนะ
เมื่อพระองค์เสด็จไปตรวจคนไข้ในย่านชาวจีนบ่อยเข้า พวกคนจีนก็เกิดความคุ้นเคยและเคารพศรัทธา มักจะจัดหาขนมอย่างชาวจีน เช่น ขนมจันอับ ถั่วตัด งาตัด มาถวายเสมอๆ และพากันเรียกพระองค์ว่า "เตี่ย" และนี่คือที่มาของพระนาม "เสด็จเตี่ย" ที่พวกเรารู้จักคุ้นหูกันจนทุกวันนี้