ทำไมสามีชาวยุโรปนิยมขายภรรยา แทนหย่าร้างในอดีต
ช่วงศตวรรษที่ 17 การหย่าในยุโรปโดยเฉพาะในประเทศอังกฤษถือว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาก แม้การ หย่า จะมีกฎหมายควบคุม และต้องได้รับการอนุญาตจากคริสตจักร แต่ผู้ที่จะหย่าได้มักมีแต่คนรวย โดยการหย่าจะมีค่าใช้จ่ายราว 15,000 ถึง 20,000 ดอลลาร์ในปัจจุบัน (ประมาณ 500,000-700,00 บาท)
ดังนั้น การขายภรรยาจึงเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุดในการยุติการแต่งงานของกลุ่มคนที่เป็นเกษตรกรหรือคนยากจน เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถจ่ายเงินดังกล่าวได้ ทำได้เพียงแค่โอนกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของให้กับผู้ที่เสนอราคาสูงสุดในการขาย
ต่อมาช่วงกลางของศตวรรษที่ 18 การขายภรรยาเริ่มแพร่หลายมากขึ้นและกลายเป็นเรื่องธรรมดา โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่สามีต้องออกจากบ้าน เพื่อไปรบยังดินแดนห่างไกล จนทำให้เกิดระยะห่างระหว่างคู่สามีภรรยา นำมาสู่การตัดสินใจที่จะหย่าร้าง
ขั้นตอนในการขายภรรยามีลักษณะคล้ายกับการขายสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วไป กล่าวคือ จะมีการประกาศล่วงหน้าผ่านโฆษณาทางหนังสือพิมพ์และการบอกปากต่อปาก โดยในวันที่ขาย ภรรยาจะถูกพาไปที่ตลาดในท้องถิ่นโดยผูกเชือกไว้ที่เอวหรือข้อมือ จากนั้นก็ให้ภรรยาขึ้นไปยืนบนแท่นยกสูงเพื่อเริ่มการประมูลซื้อขาย หากผู้ใดให้ราคามากที่สุดก็จะได้สตรีผู้นั้นไปครอบครอง
ดังกรณีของ Joseph Thompson ที่ขายภรรยาของตนในปี ค.ศ. 1832 เขานำเธอมาขายโดยระบุคุณสมบัติข้อดีข้อเสียของเธอต่อผู้คนที่สนใจจะซื้อ ภรรยาของตนมีความสามารถในการรีดนมวัว ร้องเพลง และเป็นเพื่อนดื่มสุราที่ดี โดยขายเธอในราคา 50 ชิลลิง
การขายภรรยาดูเหมือนจะเป็นการบีบบังคับฝ่ายหญิง หากแต่ในความเป็นจริงนั้นการขายต้องได้รับความยินยอมจากฝ่ายภรรยาก่อน ภรรยามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธผู้ซื้อที่ตนไม่พึงพอใจ และในบางกรณีที่ภรรยาจะเข้าหาผู้ซื้อและโน้มน้าวให้เขาซื้อเธอ หรือภรรยาเองอาจจะซื้อตัวเองโดยการให้เงินกับผู้ซื้อ เนื่องจากเธอต้องการที่จะหลุดพ้นจากพันธะของการแต่งงานที่ไม่มีความสุข
ดังที่ Jennifer Weiner เคยเขียนไว้ว่า "การหย่าร้างไม่ใช่โศกนาฏกรรม แต่การแต่งงานที่ปราศความสุขต่างหากคือโศกนาฏกรรม" ดังนั้น หากมองอีกมุมหนึ่ง การขายภรรยาเป็นเหมือนการเปิดโอกาสที่ทำให้ผู้หญิงบางคนได้หนีจากชีวิตในการแต่งงานที่ไม่มีความสุขได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่แม้ว่าการขายภรรยาจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ทางการก็มักจะเมินเฉยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เนื่องจากตำรวจเองก็ขายภรรยาเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าการกระทำดังกล่าวเริ่มไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะกลุ่มอีกต่อไป เริ่มมีการกระจายตัวไปในสังคมอื่น ๆ ไปสู่กลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น การขายภรรยาจึงจึงกลายเป็นประเพณีที่นิยมปฏิบัติในสมัยนั้น
แต่ช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทัศนคติของสาธารณชนต่อการขายภรรยานั้นเริ่มเปลี่ยนไป การต่อต้านเริ่มปรากฏขึ้น และเริ่มชัดเจนมาขึ้นเมื่อก้าวสู่คริสต์ศตวรรษใหม่ ผู้คนเริ่มที่จะตระหนักถึงหลักสิทธิมนุษยชนมากขึ้น รู้สึกว่าการกระทำดังกล่าวคือการละเมิดและเหยียดหยามศักดิ์ศรีของผู้หญิง จึงก่อให้เกิดศาลการหย่าในปี ค.ศ. 1857 การหย่าสามารถทำได้ง่ายมากขึ้น เพื่อให้ผู้หญิงสามารถยุติการแต่งงานด้วยตัวของพวกเธอเองโดยไม่ต้องผ่านการขายจากสามี
ในความคิดของผู้เขียนถึงแม้ประเพณีดังกล่าวอาจจะเกิดจากความยินยอมของฝ่ายภรรยา แต่การที่ขายพวกเธอก็แสดงให้เห็นว่าอิสระภาพของพวกเธอถูกตีค่าเป็นเงิน แทนที่จะเป็นสิทธิที่ทุกคนพึงมีในร่างกายของตนเอง ในความเป็นจริงแล้วการแต่งงานในช่วงก่อนศตวรรษที่ 18 คือการตกลงกันระหว่างสามีและภรรยาที่ตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่มีพีธีการใด ๆ จึงทำให้เกิดคำถามที่ว่า ทำไมเมื่อตกลงหย่ากันถึงไม่เป็นการตัดสินใจเพียงแค่สองคนแล้วแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตนเอง ทำไมพวกเธอต้องถูกนำมาขายเพื่อให้บรรดาผู้ชายมาประมูลพวกเธอ อีกทั้งการที่ถูกประมูลไปก็ไม่ได้รับประกันว่าพวกเธอจะมีอิสรภาพหรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องไปอยู่กับผู้ชายคนใหม่ หากไม่พึงพอใจก็อาจจะถูกขายอีกครั้ง
ดังนั้น การขายภรรยาจึงเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุดในการยุติการแต่งงานของกลุ่มคนที่เป็นเกษตรกรหรือคนยากจน เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถจ่ายเงินดังกล่าวได้ ทำได้เพียงแค่โอนกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของให้กับผู้ที่เสนอราคาสูงสุดในการขาย
ต่อมาช่วงกลางของศตวรรษที่ 18 การขายภรรยาเริ่มแพร่หลายมากขึ้นและกลายเป็นเรื่องธรรมดา โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่สามีต้องออกจากบ้าน เพื่อไปรบยังดินแดนห่างไกล จนทำให้เกิดระยะห่างระหว่างคู่สามีภรรยา นำมาสู่การตัดสินใจที่จะหย่าร้าง
ขั้นตอนในการขายภรรยามีลักษณะคล้ายกับการขายสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วไป กล่าวคือ จะมีการประกาศล่วงหน้าผ่านโฆษณาทางหนังสือพิมพ์และการบอกปากต่อปาก โดยในวันที่ขาย ภรรยาจะถูกพาไปที่ตลาดในท้องถิ่นโดยผูกเชือกไว้ที่เอวหรือข้อมือ จากนั้นก็ให้ภรรยาขึ้นไปยืนบนแท่นยกสูงเพื่อเริ่มการประมูลซื้อขาย หากผู้ใดให้ราคามากที่สุดก็จะได้สตรีผู้นั้นไปครอบครอง
ดังกรณีของ Joseph Thompson ที่ขายภรรยาของตนในปี ค.ศ. 1832 เขานำเธอมาขายโดยระบุคุณสมบัติข้อดีข้อเสียของเธอต่อผู้คนที่สนใจจะซื้อ ภรรยาของตนมีความสามารถในการรีดนมวัว ร้องเพลง และเป็นเพื่อนดื่มสุราที่ดี โดยขายเธอในราคา 50 ชิลลิง
การขายภรรยาดูเหมือนจะเป็นการบีบบังคับฝ่ายหญิง หากแต่ในความเป็นจริงนั้นการขายต้องได้รับความยินยอมจากฝ่ายภรรยาก่อน ภรรยามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธผู้ซื้อที่ตนไม่พึงพอใจ และในบางกรณีที่ภรรยาจะเข้าหาผู้ซื้อและโน้มน้าวให้เขาซื้อเธอ หรือภรรยาเองอาจจะซื้อตัวเองโดยการให้เงินกับผู้ซื้อ เนื่องจากเธอต้องการที่จะหลุดพ้นจากพันธะของการแต่งงานที่ไม่มีความสุข
ดังที่ Jennifer Weiner เคยเขียนไว้ว่า "การหย่าร้างไม่ใช่โศกนาฏกรรม แต่การแต่งงานที่ปราศความสุขต่างหากคือโศกนาฏกรรม" ดังนั้น หากมองอีกมุมหนึ่ง การขายภรรยาเป็นเหมือนการเปิดโอกาสที่ทำให้ผู้หญิงบางคนได้หนีจากชีวิตในการแต่งงานที่ไม่มีความสุขได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่แม้ว่าการขายภรรยาจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ทางการก็มักจะเมินเฉยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เนื่องจากตำรวจเองก็ขายภรรยาเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าการกระทำดังกล่าวเริ่มไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะกลุ่มอีกต่อไป เริ่มมีการกระจายตัวไปในสังคมอื่น ๆ ไปสู่กลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น การขายภรรยาจึงจึงกลายเป็นประเพณีที่นิยมปฏิบัติในสมัยนั้น
แต่ช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทัศนคติของสาธารณชนต่อการขายภรรยานั้นเริ่มเปลี่ยนไป การต่อต้านเริ่มปรากฏขึ้น และเริ่มชัดเจนมาขึ้นเมื่อก้าวสู่คริสต์ศตวรรษใหม่ ผู้คนเริ่มที่จะตระหนักถึงหลักสิทธิมนุษยชนมากขึ้น รู้สึกว่าการกระทำดังกล่าวคือการละเมิดและเหยียดหยามศักดิ์ศรีของผู้หญิง จึงก่อให้เกิดศาลการหย่าในปี ค.ศ. 1857 การหย่าสามารถทำได้ง่ายมากขึ้น เพื่อให้ผู้หญิงสามารถยุติการแต่งงานด้วยตัวของพวกเธอเองโดยไม่ต้องผ่านการขายจากสามี
ในความคิดของผู้เขียนถึงแม้ประเพณีดังกล่าวอาจจะเกิดจากความยินยอมของฝ่ายภรรยา แต่การที่ขายพวกเธอก็แสดงให้เห็นว่าอิสระภาพของพวกเธอถูกตีค่าเป็นเงิน แทนที่จะเป็นสิทธิที่ทุกคนพึงมีในร่างกายของตนเอง ในความเป็นจริงแล้วการแต่งงานในช่วงก่อนศตวรรษที่ 18 คือการตกลงกันระหว่างสามีและภรรยาที่ตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่มีพีธีการใด ๆ จึงทำให้เกิดคำถามที่ว่า ทำไมเมื่อตกลงหย่ากันถึงไม่เป็นการตัดสินใจเพียงแค่สองคนแล้วแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตนเอง ทำไมพวกเธอต้องถูกนำมาขายเพื่อให้บรรดาผู้ชายมาประมูลพวกเธอ อีกทั้งการที่ถูกประมูลไปก็ไม่ได้รับประกันว่าพวกเธอจะมีอิสรภาพหรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องไปอยู่กับผู้ชายคนใหม่ หากไม่พึงพอใจก็อาจจะถูกขายอีกครั้ง
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น