ถนอมดวงตา...ก่อนสาย
ในอดีตโรคทางสายตาโดยส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ทำให้คนในวัยหนุ่มสาวมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว
แต่ปัจจุบันพบว่าเกือบ 50% ของคนไทยทั้งประเทศต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำทุกวันในการเรียนหรือการทำงาน โดยใช้เวลาส่วนใหญ่กับการหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต หรือเช็กเมล์อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และยังใช้นอกเหนือจากเวลาเรียนและการทำงานด้วย โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์ของกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานในปัจจุบันอยู่ในยุค Look At "ME Generation" หรือ Gen Me ยุคที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากกว่ามนุษย์ด้วยกันเอง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "สังคมก้มหน้า" ที่ผู้คนรอบตัวต่างจดจ้องอยู่กับ "หน้าจอ" ของตัวเอง หรือเรียกได้ว่า "ชีวิตติดจอ" โดยไม่สนใจคนรอบข้าง ทำให้เราใช้สายตาเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
พญ.วรางคณา ทองคำใส จักษุแพทย์ หัวหน้าฝ่ายบริการทางการแพทย์ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า คนยุคใหม่มีไลฟ์สไตล์แบบ "ชีวิตติดจอ" ใช้จอต่างๆในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์ จอแทบเล็ต หรือจอสมาร์ตโฟน ในการอัพเดทสถานะ โซเชียลมีเดีย เล่นเกม ดูหนัง ดูซีรี่ส์ ส่งข้อความ ซื้อของออนไลน์ ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ทำให้เราใช้สายตาเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งพบว่าเราใช้สายตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์และจอต่างๆโดยเฉลี่ยวันละ 8-10 ชั่วโมงทีเดียว
การที่คนเราใช้สายตาส่วนใหญ่ในการจ้องมองหน้าจอ หรือจ้องตัวหนังสือที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงจอสมาร์ตโฟนนานๆนั้น จะส่งผลให้กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก เพิ่มโอกาสที่จะทำให้สายตาเสียได้มากกว่าการอ่านหนังสือหรือทำงานในกระดาษ โดยจากสถิติพบว่าถ้าคนเราใช้สายตาอยู่กับหน้าจอต่อเนื่องมากกว่า 3 ชั่วโมง/วัน จะทำให้เกิดอาการตาเบลอ ตาแห้ง แสบตา สู้แสงไม่ได้ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่คุณไม่รู้ตัว และหากเราใช้สายตามากขึ้น ความรุนแรงของอาการจะยิ่งมากจนเกิดอาการคอมพิวเตอร์วิชั่น ซินโดรม ซึ่งนอกจากจะมีอาการทางสายตาแล้ว ยังมีอาการของกล้ามเนื้อด้วย เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยบ่า ต้นคอ ถ้าปวดมากอาจทำให้นอนไม่หลับ และพักผ่อนไม่เพียงพอ และเป็นสาเหตุของโรคอื่นตามมาได้
ฉะนั้นเราควรเริ่มดูแลและถนอมสายตาตั้งแต่เนิ่นๆก่อนสายเกินแก้ เพราะดวงตาของเรามีคู่เดียว ไม่มีอะไหล่เปลี่ยน หากต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือใช้สมาร์ตโฟนควรหมั่นพักสายตาและกะพริบตาบ่อยๆอย่างน้อย 10-15 ครั้งต่อนาที
ที่สำคัญควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสายตาเช่น วิตามินเอที่ผลงานวิจัยระบุว่าช่วยในการมองเห็น และยังมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดภาวะตาแห้ง และเลือกรับประทานผลไม้ที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งพบ มากในผักและผลไม้ต่างๆ โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และแบล็กเคอร์ แรนต์ เป็นต้น โดยมีการวิจัยพบว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่มีแอนโธไซยานิน ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา ช่วยการมองเห็นในเวลากลางคืน และช่วยให้การไหลเวียนเลือดในเส้นเลือดฝอยดีขึ้น
นอกจากการบำรุงสุขภาพตาแล้ว สุขภาพร่างกายก็สำคัญ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่ดวงตาดีขึ้น หากต้องออกแดดหรือขับรถควรสวมแว่นกันแดด และควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็กสุขภาพดวงตาปีละครั้ง หากมีอาการผิดปรกติเกี่ยวกับการมองเห็น ตาแดง ปวดตา หรือเคืองตา ควรรีบไปพบจักษุแพทย์
ที่มา : โลกวันนี้วันสุข