และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง
ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย จนลูกค้าพากันกลับไปแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง
สี่ทุ่มกว่า ขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
ผู้ที่เข้ามาคือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทเก่า
เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง
"สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยค่ะ"
"ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะค๊ะ" เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง
ตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่รับคำพลางจุดเตาที่เพิ่งจะดับไป "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า "นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ" "ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย" สามีตอบพลางโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน เสร็จแล้วตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย
"หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ "
"ปีนี้ยังสามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว"
"ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"
กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป
"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป
ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน
แต่พอเลยสามทุ่มไปแล้ว สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึงสี่ทุ่มพนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป เมื่อคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน" และเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว" ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ ในที่สุดสี่ทุ่มครึ่งสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม
"เชิญค่ะ เชิญค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ
มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า "รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ"
"ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง แล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า "บะหมี่น้ำสองชาม" "ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ" เถ้าแก่ตอบพลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน
สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกันในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
"ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"
"ขอบคุณ ?" "ทำไมครับ"
"เรื่องเป็นอย่างนี้ คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งยังทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนชดใช้ให้เขาทุกเดือน"
"เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ
(เถ้าแก่เนี้ยตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร)
"แต่เดิมนั้นเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"
"จริง ๆ หรือครับ แม่"
"จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่น ๆ อีก จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"
"ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"
"ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ"
"ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "
"แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้องแจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า เรียงความของน้องถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆ ของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้น ในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ร่วมในงานวันพบผู้ปกครอง"
"จริงหรือลูก แล้วเป็นไงบ้างล่ะ"
"หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ "ความปรารถนาของข้าพเจ้า" น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"
"เรียงความเขียนว่า…
หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน
แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…"
"ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกินบะหมี่น้ำ อร่อยมาก…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก แล้วยังอวยพรปีใหม่ให้พวกเราอีก เสียงอวยพรนั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดโดยเร็วที่สุด…"
"ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ แล้วจะต้องให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…"
สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง ซับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
"พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ "
"จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรล่ะ"
"ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะอยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน เมื่อเป็นอย่างนี้จึงไม่ได้ช่วยเพื่อนทำกิจกรรม เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ผมรู้สึกอายมาก แต่พอเห็นว่าน้องยืดอกอ่านเรียงความด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าการที่รู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้แหละเป็นสิ่งที่ควรอายน้อง"
"หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามเพื่อกินกันสามคนนั้น ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยันและดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"
สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี จ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป
มองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ พร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"