ความเชื่อปลัดขิก ศักสิทธิ์จริงหรือมั่ว?
เรื่องปลัดขิกดังกล่าวเป็นกระแสว่อนเน็ตของชาวต่างชาติอยู่ในขณะนี้ คือภาพที่ นักท่องเที่ยวอิตาลีโพสในโซเชียล … พร้อมข้อความว่า
ในอิตาลีเราจะโยนเหรียญลงไปในน้ำพุเทรวี่ ในประเทศไทยเราโยนศิวลึงค์และเซ็กซ์ทอยในถ้ำที่กระบี่
ภาพดังกล่าวเชื่อว่าถ่ายมาจาก ถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดกระบี่ ซึ่งมีการวาง ศิวลึงค์ ในบ่อน้ำจำนวนมากเพื่อทำการสักการะบูชา หรือทำการแก้บน สุดแล้วแต่ใครจะกระทำ แต่ในภาพดังกล่าว กลับมีชิ้นส่วนของอวัยวะเพศปลอม ที่ทำจากยางซิลิโคน ซึ่งเรียกกันว่า เซ็กซ์ทอย อันมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จากความเห็นของทีมงานไทยอินโฟเน็ต เชื่อว่า เซ็กซ์ทอย ในภาพดังกล่าว ถูกจัดวางไว้ปะปนกับศิวลึงค์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อถ่ายภาพสร้างกระแสตลกขบขัน หรืออาจจะเกิดจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมือบอน ความคิดพิเรนท์บางคน ทิ้งไว้ เพื่อสร้างความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็น โดยเฉพาะในโลกยุคโซเชียลเน็ตเวอร์กแพร่หลาย มักจะมีคนยอมลงทุนทำอะไรประหลาดๆ เพื่อให้ได้เป็นที่วิพากษณ์วิจารณ์กันในโลกอินเตอร์เน็ต
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักและความเป็นมาของ "ปลัดขิก" ว่ามีความสำคัญและขลังแค่ไหน
ตามความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมานั้น สันนิษฐานว่าอาจได้รับอิทธิพลมาจากชาวอินเดียในแถบตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 2000 ปีก่อน โดยอาจเกี่ยวข้องกับชาวฮินดูที่นับถือพระอิศวร และบูชาแท่งหินแกะสลักคล้ายอวัยวะเพศชาย เรียกว่า ศิวลึงค์
การเริ่มบูชาปลัดขิกนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากการบูชาพระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งได้มีการสร้างเสาหินที่ผสมผสานระหว่างรูปร่างของพระอาทิตย์และพระจันทร์เข้าด้วยกัน หากดูผิวเผินจะคล้ายกับอวัยวะเพศชาย จึงเรียกว่า ลึงค์ เมื่อมีความเชื่อเกี่ยวกับพระอิศวรหรือพระศิวะกับพระอุมา ศิวะลึงค์จึงได้สร้างขึ้นมาให้มีขนาดเล็กลงเพื่อความสะดวกในการพกพา
บางตำนาน กล่าวว่า เกิดจากบรรดาเทพและมนุษย์ร่วมกันสร้างเพื่อบูชาพระศิวะ แต่การจะสร้างพระศิวะเพื่อบูชานั้นอาจดูว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเกินไป จึงได้สร้างศิวะลึงค์ขึ้นบูชาซึ่งอาจสื่อถึงความมีราคะของพระศิวะ
ส่วนอีกตำนานหนึ่งนั้นกล่าวว่า วันหนึ่งพระศิวะร่วมเสพสังวาสกับพระอุมาในท้องพระโรง ทำให้บรรดาเหล่าเทพที่มาเข้าเฝ้าเห็นเข้า และแสดงความไม่นับถือต่อพระศิวะ ด้วยเหตุนี้พระศิวะจึงบันดาลโทสะและประกาศในท้องพระโรงนั้นว่า อวัยวะของพระองค์นี่แหละจักปกป้องคุ้มครองแก่ผู้เคารพบูชา หากเทพหรือมนุษย์ผู้ต้องการประสบความสำเร็จและความสุขในชีวิตจะต้องเคารพบูชาให้กราบไหว้บูชาอวัยวะของพระองค์
มีบางตำนานกล่าวว่า วันหนึ่งเกิดโรคระบาดจนมีผู้คนล้มตายลงเป็นอันมากและเชื่อกันว่าเกิดจากพระอุมา อัครมเหสีของพระศิวะเกิดบันดาลโทสะโดยไม่ทราบสาเหตุ เหล่าพราหมณ์จึงแก้ด้วยการทำสิ่งบูชาคล้ายอวัยวะเพศชายเพื่อเป็นตัวแทนพระอิศวรและทำให้โรคระบาดหายไปในที่สุด
ตำนานที่เชื่อกันว่าน่าเชื่อถือที่สุดคือตำนานเกี่ยวกับการบูชา ตรีมูรติ มีการบูชาเทพผู้เป็นใหญ่ทั้งสามได้แก่ พระศิวะ พระพรหม พระวิษณุ และเทพทั้งสามได้มาปรากฏกายให้ผู้บูชาได้ชื่นชมพระบารมี โดยพระพรหมปรากฏเป็น สี่หน้า สี่กร พระวิษณุ เป็นเทพธรรมดา ส่วนพระศิวะปรากฏให้เห็นเฉพาะส่วนที่แสดงให้เห็นว่าเป้นเพศชาย หลักจากนั้นจึงได้มีการสร้างสิ่งเคารพที่แสดงถึงเทพทั้งสามตามที่ปรากฏให้เห็น
ในประเทศไทยไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเริ่มมีมาในสมัยใด และมีความแแตกต่างจากศิวลึงค์ของชาวฮินดู เนื่องจากปลัดขิกที่คนไทยนำมาบูชานั้นทำขึ้นจากผู้มีวิชาความรู้ด้านไสยศาสตร์และทำการปลุกเสกเพื่อให้เป็นเครื่องรางของขลัง โดยในสมัยโบราณคนไทยนิยมห้อยปลัดขิกไว้กับเอวหรือห้อยคอสำหรับเด็กผู้ชาย ซึ่งการทำเช่นนี้เพราะมีความเชื่อว่าหากมีปลัดขิกติดตัวจะช่วยป้องกันอันตรายต่างๆได้ หรือบางคนนำมาบูชาไว้กับสถานประกอบการค้าขายเพราะเชื่อว่าจะทำให้ค้าขายมีกำไรมีคนอุดหนุนกิจการมากขึ้น
ความเชื่อในปัจจุบัน
ปลัดขิกในปัจจุบันนอกจากทำขึ้นโดยผู้มีความรู้ด้านไสยศาสตร์แล้ว ยังพบว่าถูกสร้างโดยพระภิกษุและได้รับความนิยมมากอาจเพราะมีความเชื่อทางด้านพุทธคุณประกอบกัน หรือ บางครั้งถูกสร้างโดยผู้มีความศรัทธาในพระภิกษุนั้นแล้วทำการแกะสลักปลัดขิกจากนั้นจึงนำไปให้พระภิกษุที่ตนเองนับถือทำการปลุกเสก
นอกจากนี้ปลัดขิกยังถูกมองว่าเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง เพราะมีการแกะสลักเป็นรูปลิง หรือรูปร่างหญิงเปลือยกาย ซึ่งล้วนแต่มีความเชื่อผสมอยู่เสมอ เช่น ลิงอาจหมายถึงความคล่องแคล่ว หญิง หมายถึง มีเสน่ห์ หรือทำขึ้นเพื่อให้ชาวต่างชาตินำไปเป็นของสะสม
ลักษณะ
ปลัดขิกหรือขุนเพ็ดจัดเป็นเครื่องรางของขลังที่ได้รับความนิยมอีกอย่างหนึ่งของคนไทย ปลัดขิกส่วนมากแกะสลักมาจากไม้ที่เชื่อกันว่าเป็นไม้มงคล หรือบางทีอาจทำจาก หิน ทองเหลือง ทองแดง กัลปังหา เขา งา เขี้ยว ของสัตว์[2] แกะสลักเป็นรูปร่างเหมือนอวัยวะเพศชายแต่ไม่มีหนังหุ้มปลายอวัยวะ มีขนาดต่าง ๆ กันและยาวพอเหมาะกับขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง เมื่อทำการแกะสลักแล้วก่อนนำมาบูชาเป็นเครื่องรางของขลังจะต้องทำการปลุกเสกโดยผู้มีความรู้ด้านไสยศาสตร์ หรือพระภิกษุ ซึ่งหากทำการปลุกเสกด้วยพระภิกษุเชื่อกันว่าจะได้รับพระพุทธคุณมาด้วย ในปัจจุบันจึงพบว่าปลัดขิกส่วนใหญ่มาจากการปลุกเสกของพระภิกษุ คนไทยส่วนใหญ่เชื่อกันว่าให้คุณแก่ผู้บูชา ส่วนชาวต่างชาติก็ทำเป็นของสะสม
ส่วนชื่อเรียก ปลัดขิก ไม่มีที่มาปรากฏชัดว่าเหตุใดจึงเรียกเช่นนั้น ส่วนคำว่า ปลัด หมายถึง ตำแหน่งรองจากตำแหน่งที่เหนือกว่า หรือสันนิษฐานว่าพ้องเสียงมาจากคำว่า ปราศวะ ในภาษาสันสกฤต แปลว่าเคียงข้าง เนื่องจากผู้บูชาปลัดขิกนิยมแขวนไว้ที่เอวหรือหากเป็นเด็กจะแขวนที่คอ เมื่อมีผู้พบเห็นแล้วเกิดหัวเราะเสียงดังคล้าย คิกๆคักๆ จึงอาจเพี้ยนมาเป็นปลัดขิก
ส่วนถ้ำที่เป็นกระแสฮือฮาอยู่ในโลกโซเชียล ที่มีความขลังในเรื่องของปลัดขิก นั่นคือถ้ำพระนาง เรามาทำความรู้จักกับถ้ำพระนางกันดีกว่า
ถ้ำพระนาง เป็นศาลของเทพธิดา ล้อมรอบสิ่งของที่ชาวบ้านนำมาแก้บน นั่นคือไม้แกะสลักที่เรียกว่า ปลัดขิก มีขนาดและ สีสันที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับสถานที่ต่างๆในโลก แต่ที่นี่มันความเชื่อของมนุษย์ในจิตวิญญาณความเป็น อยู่ของทุก สิ่งที่เคลื่อน ไหวอย่างเช่น (นก, ปลา,สัตว์เลื้อยคลานเลี้ยงลูก ด้วยนม,แมลง) รวมทั้งเซื่องซึมเป็น (พืช,หิน,แม่น้ำ,ทะเล,ภูเขา และที่ดินมาก พวกเรายืนอยู่มื่อเรื่องเล่าของชาวบ้านแสดงให้เห็นว่าสมัยก่อน มีเรือพระราช จมนอกชายฝั่งคาบสมุทร และมีพระนาง กับเจ้าหญิง ชาวอินเดียชื่อ ศรีกุลเทวีลอยอยู่บนกระดาน
เพราะเธอจมน้ำไปพร้อมกับเรือในทะเลซึ่งเชื่อกันว่า ชีวิตของ เธอไม่เคย สมหวังในเรื่อง ต่างๆ และยังเชือกับว่าวิณญาณของเธอได้สิงสถิดอยู่ที่ศาลแห่งนี้จนถึงบัดนี้ เป็นที่เชื่อกันในหมู่ชาวบ้านที่นี่ ว่าวิญญาณของ พระนาง(เทพธิดา)อยู่ในถ้ำนี้ชาวประมงก่อนที่จะออกไปทะเลจำเป็นที่จะต้องมา ขอพรจากพระนางก่อนแล้วจะ โชคดีและ สมปรารถนาของพวกเขาที่ปรารถนาไว้ และเชื่อว่าสมปรารถนา,การทำพิธี บนจะทำที่ศาลเจ้าส่วนใหญ่จะ เป็นอาหาร และดอกไม้ ธูปเทียนแต่โดยปกติแล้วจิตวิญญาณของ เทพธิดาตามที่เชื่อกันว่าสิ่งที่ ท่านต้องได้รับเป็นสิ่งตอบแทนเป็นพิเศษ คือ ปลัดขิกตอนนี้
คนไทยไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร ไม่ว่าจะศาสนาพุทธหรือศาสนาอิสลามที่มีความเชื่อเรื่องของ ปลัดขิก ที่ศักดิ์สิทธิ์ และหากสร้าง ถวายศาลเจ้า จะเชื่อว่าจะมีความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรืองของโลกทั้งโลกและมนุษย์ ไม่ว่า ที่มาและ ความเชื่อว่า วิญญาณ หญิงสาว ที่มีประสิทธิภาพและเป็นกฎของคาบสมุทรแห่งนี้เป็นที่ชัดเจนโดยการบูชาอย่างต่อเนื่อง ของคน ในท้องถิ่น ถ้ำพระนาง ถือว่ามีความสำคัญทางจิตวิญญาณที่ดีสำหรับพวกเขา ชาวประมงเหล่านั้นที่นับถือศาสนาอิสลามจะบูชา และมีความเชื่อโดย ไม่คำนึงถึง ทางศาสนาของพวกเขา และพวกเขาเชื่อถือว่าเป็นเรื่องจริง เพื่อความเชื่อมั่นว่า โชคชะตาและ ความเจริญรุ่งเรืองของ พวกเขาจะเชื่อมโยงไปยังที่ของเจ้าหญิงในตำนาน พวกเขายังคงให้การเสนอ ขายปกติของข้าว ผลไม้,น้ำ ธูป, ดอกไม้และ ปลัดขิก
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!