ในแง่ภาพยนตร์ The Singularity is Near (2010) ไม่ได้มีชั้นเชิงใดๆ เลย แต่ในแง่เนื้อหาแล้ว นี่คือสารคดีที่ไม่อาจจะมองข้ามได้ เพราะมันกำลังจะทำนายโลกในยุคหน้า ซึ่งแม้ว่าอาจจะฟังดูเว่อร์วังยังกับพล็อตหนังวิทยาศาสตร์ ทว่าสารคดีเรื่องนี้ทะลักล้นด้วยข้อมูลหนักแน่นน่าเชื่อถือ เพราะนอกจากจะมาจากหนังสือชื่อเดียวกันแล้ว ตัวผู้เขียนเองยังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมกำกับสารคดีเรื่องนี้ด้วย และเขาคือผู้ที่ประกาศคำทำนายในย่อหน้าแรกกลางที่ประชุมงานวิจัย Global Futures 2045 International Congress เมื่อปี 2013 เป็นคำทำนายที่ผู้คนทั่วโลกต้องฟัง เพราะมันถูกเอ่ยอ้างจากปากคำของ เรย์มอนด์ เคิร์ซวีล
อุต๊ะจริงหรือไม่? “ภายในปี 2045 มนุษย์จะสามารถอัปโหลดข้อมูลจากสมองไปเก็บไว้ในคอมฯได้”!!!
นิตยสารฟอร์บส์ ยกย่องเขาว่าเป็น "สุดยอดเครื่องจักรนักคิด" หนังสือพิมพ์ เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล เรียกเขาว่า "จอมอัจฉริยะผู้ไม่เคยหลับใหล" และ บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ยกย่องว่า "เขาคือผู้ทำนายอนาคตคนสำคัญที่สุดของโลก" เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ซึ่งเกิดขึ้นจริงมาแล้วมากมาย อาทิ การล่มสลายของสหภาพโซเวียต หรือการทำนายว่าอินเทอร์เน็ตจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตประจำวัน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า The Singularity is Near ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหรือล้อเล่นเลย โดยเฉพาะเมื่อหนังเปิดฉากด้วยประโยคสุดท้าทายของเขาว่า
"นี่คือเรื่องราวของชะตากรรมแห่งมนุษย์จักรกลในโลกอารยะ ชะตากรรมที่เรากล่าวอ้างถึงนี้คือ...ซิงกูลาริตี้"
ว่าแต่ "ซิงกูลาริตี้" คืออะไร?
"ซิงกูลาริตี้ คือยุคแห่งอนาคต ซึ่งเทคโนโลยีจะก้าวกระโดดอย่างเร่งรีบรวดเร็ว และมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการเปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิตของมนุษยชาติในปัจจุบันไปอย่างสิ้นเชิง" เคิร์ซวีลเกริ่นนำ พร้อมกับคลิปอีกมากมายที่เขาเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ เช่น "เป็นยุคที่เราจะแยกไม่ออกเลยว่าคนไหนคือหุ่นยนต์ คนไหนคือมนุษย์จริงๆ", "คอมพิวเตอร์จะไม่ใช่แค่เล็กๆ ยัดใส่กระเป๋าได้เท่านั้น แต่มันจะถูกฝังกลายเป็นส่วนหนึ่งภายในร่างกาย หรืออยู่ภายในสมองของเราเลย มนุษย์จะกลายเป็นชีวภาพไฮบริด และชีวะ-จักรกล ฉลาดล้ำแบบปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ" ฯลฯ
โดยเขาระบุเพิ่มเติมว่า "ย้อนกลับไปเมื่อห้าร้อยปีก่อนในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีไม่ได้พัฒนาอะไรมากนัก แต่เดี๋ยวนี้มันกลับก้าวกระโดดภายในเวลาแค่เพียงครึ่งปี ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้จะเร็วขึ้นและเร็วขึ้น มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมและภายในร่างกายมนุษย์ สิ่งเหล่านี้แหละคือ ซิงกูลาริตี้ (ในทางฟิสิกส์เรียกว่าภาวะเอกฐาน หรือเอกภาวะ)
"ในอนาคตอันใกล้ เรากำลังจะมีเทคโนโลยีที่พลิกโฉมวงการแพทย์ อันมีประสิทธิภาพเลิศเป็นพันเท่าของทศวรรษที่ผ่านมา และเป็นล้านเท่าของสองทศวรรษก่อนหน้านั้น คอมพิวเตอร์ในสมาร์ทโฟนของคุณตอนนี้ มันหดเล็กลงและราคาถูกกว่าตอนแรกสร้างขึ้นถึงล้านเท่า ทั้งยังอเนกประสงค์ กะทัดรัด และทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิมเป็นพันเท่า ในอนาคตมันจะไปถึงจุดที่จะเล็กจิ๋วจนมีขนาดเท่าเกล็ดเลือด"
นอกจากนี้ ยังมีความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญอีกหลายสาขา อาทิ ทอม เอเบท นักวิจัยจากสแตนฟอร์ดว่า "ซิงกูลาริตี้ คือจุดที่เครื่องจักรจะสามารถแก้ไขซ่อมแซมและพัฒนาตัวมันเองได้ จนถึงระดับซูเปอร์อัจฉริยะมากขึ้นกว่าปัจจุบัน", โรเบิร์ต เม็ตคาลเฟ นักนวัตกรรมทางเทคโนโลยีว่า "ซิงกูลาริตี้ เป็นศัพท์ทางคณิตศาสตร์ คือการคำนวณจุดที่ทุกสิ่งไปถึงภาวะวิกฤติที่ไม่อาจจะยับยั้งหรือหวนคืนได้", เบน เกิร์ตเซล นักวิศวกรรม AI ว่า "ซิงกูลาริตี้ในทางฟิสิกส์คือปรากฏการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น", เควิน เคลลี ผู้ก่อตั้งนิตยสาร Wired ว่า "ส่วนหนึ่งของซิงกูลาริตี้เป็นมายาคติด้วย มันคือภาพในอุดมคติที่เราคิดว่าจะเป็นจริงได้ในอนาคต", แต่หนึ่งในนิยามเหล่านั้นที่ดูจะเป็นภาพฝันที่คนเราต้องการ คือ "การมาถึงของซูปเปอร์ AI ที่สามารถแก้ไขวิกฤติปัญหาใหญ่ๆ ได้ง่ายๆ ภายในชั่วพริบตา"
ไม่ว่าสิ่งที่เคิร์ซวีลทำนายไว้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เขาก็ได้ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า "มนุษย์มีแนวคิดมากมายทางศาสนา เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ หรือการฟื้นคืนชีพ แต่สิ่งเดียวที่มีศักยภาพในการจะทำให้แนวคิดดังกล่าวเป็นจริงได้ คือ เทคโนโลยี ซึ่งเราอยู่ในช่วงเวลาที่โลกกำลังจะไปสู่เป้าหมายนั้นแล้ว เราพัฒนาขีดความสามารถให้เป็นแบบเดียวกับพระเจ้า คือสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้ตามใจนึก ได้อย่างสะดวกง่ายดายภายในพริบตา"