ล้างพิษง่ายๆ เหงื่อออกเท่าไหร่ พิษในร่างกายก็ลดลงเท่านั้น

**ล้างพิษง่ายๆ เหงื่อออกเท่าไหร่ พิษในร่างกายก็ลดลงเท่านั้น**

ศาสตร์การล้างพิษเพื่อขับของเสียสะสมในร่างกาย ทำให้ระบบต่างๆในร่างกายสะอาดนั้น มีอยู่มากมายหลายแขนง มีตั้งแต่วิธีง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง จนถึงวิธีที่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยควบคุมดูแล เช่น

- การกินผักผลไม้ที่มีกากใยสูง หรือไฟเบอร์สำเร็จรูปเพื่อขับพิษตกค้างจากขยะอาหารในลำไส้

- การสวนล้างลำไส้เพื่อทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย

- การขูดผิวหนัง(กัวซา)เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบน้ำเหลืองและระบบโลหิตให้สามารถทำหน้าที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันและขจัดของเสียสะสมในร่างกายออกได้ดีขึ้น

และอีกมากมายหลายวิธี ที่เราจะกล่าวถึงในโอกาสต่อๆไป +++
แต่ในบทความนี้ ด้วยคติที่เรายึดถือกันตลอดมา นั่นคือ

“หมอที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง”
เราจึงขอแนะนำวิธีที่ง่าย และสามารถทำได้ด้วยตัวเอง นั่นคือ
“การทำให้เหงื่อออก”
หลายคนคงสงสัยว่ากะแค่ทำให้เหงื่อออก มันยากตรงไหน แค่เดินไปกินข้าวกลางวันเจอแดดเปรี้ยงเหงื่อก็โทรมไปทั้งตัวแล้ว 
เราเห็นด้วยว่าการทำให้เหงื่อออกนั้นไม่ยาก แต่การกระตุ้นให้เหงื่อออกมากๆ จนเกิดการขับพิษทางผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องทำอย่างไร

"เหงื่อออกมากเท่าไหร่ พิษในร่างกายก็ลดลงเท่านั้นไ
คนเราส่วนใหญ่ มักค่อยชอบให้เหงื่อออก กลัวตัวเหม็นบ้างล่ะ กลัวเป็นผื่นคันบ้างล่ะ หลายคนขับรถไปทำงาน นั่งทำงานในห้องแอร์ ขับรถกลับบ้าน และนอนในห้องแอร์ ลองทบทวนดูซิว่า เหงื่อของคุณไม่เคยออกมานานแค่ไหนแล้ว แล้วตอนนี้ สุขภาพของคุณเป็นอย่างไร
“เหงื่อ” นอกจากจะมีหน้าที่ระบายความร้อนออกจากร่างกายแล้ว ยังทำหน้าที่ลำเลียงของเสียและสารพิษต่างๆ จากหลอดเลือดออกมาทิ้งทาง “รูเหงื่อ” ซึ่งอยู่บริเวณผิวหนังชั้นบนสุดด้วย การกระตุ้นให้เหงื่อออกเพื่อให้เกิดการขับพิษทางผิวหนังนั้น ไม่ใช่แค่อยู่ดีๆก็เดินไปกลางแดดให้เหงื่อออก เราต้องคำนึงถึงวิธีการ รวมทั้งสภาพแวดล้อมด้วย
เหงื่อต้องออกในขณะที่เราอารมณ์ดี ใจมีความพร้อม สภาพแวดล้อมสะอาด ไม่อย่างนั้นแล้ว พอกระตุ้นให้เหงื่อออกมาได้ แต่เรากลับร้อนใจหงุดหงิด อีกทั้งสภาพแวดล้อมไม่ชวนให้อารมณ์สดชื่น จนเกิดความตึงเครียด เราจะได้อนุมูลอิสระเพิ่มแทนเสียเปล่าๆ

---วิธีขับเหงื่อเพื่อกระตุ้นการระบายพิษทางผิวหนัง---

1. การออกกำลังกาย
นับเป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดที่สุด ทั้งยังส่งผลดีต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมทั้งระบบไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกายอีกด้วย
แพทย์แผนไทยได้แนะนำเคล็ดลับในการออกกำลังกาย ที่เหมาะสมและได้ประโยชน์สูงสุด สำหรับคนแต่ละธาตุไว้ดังนี้
– คนที่เป็นปิตตะ (ธาตุไฟ) ควรออกกาลังกายแบบเรื่อยๆ เบาๆ เช่น ว่ายน้ำ เดิน
– คนที่เป็นวาตะ (ธาตุลม) ควรออกกาลังด้วยการเคลื่อนไหวที่มีลีลาและเป็นจังหวะ เช่น ฤๅษีดัดตน โยคะ
– คนที่เป็นเสมหะ (ธาตุน้ำ) ควรออกกาลังกายกลางแจ้ง เน้นกีฬาที่ต้องเคลื่อนไหวมากๆ และรวดเร็ว เช่น แบดมินตัน ฟุตบอล วิ่ง
2. การอบสมุนไพร
ส่งผลให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงผิวหนังมากขึ้น ขณะเดียวกัน เลือดก็จะลำเลียงสิ่งตกค้างที่ร่างกายมีมากเกินความต้องการ ออกมาขับทิ้งทาง “รูเหงื่อ” ได้สะดวกขึ้นตามไปด้วย สามารถทำได้ 2 รูปแบบ ดังนี้
2.1 การอบแห้ง (Sauna) พัฒนามาจากประเพณีไทยดั้งเดิมคือ ประเพณีเรียกขวัญมารดาหลังคลอด ด้วยการอาบน้ำสมุนไพรและพอกตัวด้วยขมิ้น จากนั้นต้อง “อยู่ไฟ” ด้วยการนอนบนแคร่ไม้ที่มีกองฟืนก่อไว้ด้านข้าง โดยเชื่อว่าความร้อนจากกองฟืนจะกระตุ้นให้มดลูกหดตัวเข้าอู่เร็วขึ้น ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ และขจัดไขมันส่วนเกิน จนกระทั่งปัจจุบันจึงได้พัฒนามาอยูในรูปแบบของ “ห้องอบแห้ง” (ห้องซาวน่า)
2.2 การอบเปียก (Steam) คือ การอบตัวด้วยไอจากน้ำต้มสมุนไพร ซึ่งก็พัฒนามาจาก “การนั่งกระโจม” ของมารดาหลังคลอดเช่นกัน ด้วยการใช้ผ้าทำเป็นกระโจมหรือใช้สุ่มไก่คลุมผ้ามิดชิด แล้วให้สตรีหลังคลอดนั่งอยู่ด้านใน โดยจะต้มน้ำสมุนไพรให้ระอุจนเกิดไอน้ำอยู่ในกระโจมเพื่อให้ตัวยาสมุนไพรค่อยๆแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังไปเรื่อยๆ
***นอกเหนือจากประโยชน์ในการขับพิษ การแพทย์แผนไทยยังกล่าวถึงประโยชน์ของการอบสมุนไพรไว้อีกหลายประการ ดังนี้***
– ทำให้ปอดขยายตัวได้ดี ระบบหายใจปลอดโปร่ง ช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก โรคหอบหืดเรื้อรัง
– ช่วยฆ่าเชื้อรา แบคทีเรีย แก้ผดผื่นคัน บรรเทาอาการผิวหนังอักเสบ กลากเกลื้อน ทำให้ผิวเกลี้ยงเกลา มีน้ำมีนวล ไม่หมองคล้ำ
– ช่วยลดความดันโลหิต เพราะทำให้เส้นโลหิตขยายออก โลหิตจะไหลเวียนสะดวกขึ้น
– ช่วยฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยช่วงพักฟื้น ให้กลับมาแข็งแรงเร็วขึ้น บำรุงสุขภาพของผู้ที่อ่อนแอ ขี้โรค ให้มีสุขภาพดีขึ้น กระปรี้กระเปร่า มีเรี่ยวแรงดีขึ้น
– ทำให้ใบหน้านุ่มนวล เกลี้ยงเกลา ปราศจากความมันและความหยาบกร้าน และยังช่วยรักษาสิว ฝ้า ขจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ลบรอย ริ้วรอยบริเวณหัวคิ้ว ขอบตา และหน้าผากได้
– ช่วยขจัดความเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ เส้น และเอ็น บรรเทาอาการเหน็บชา ชาตามปลายมือปลายเท้า แขนและขา บรรเทาอาการอัพฤกษ์ อัมพาต และสามารถรักษาให้หายขาดได้ในบางราย
– ช่วยลดไขมันส่วนเกิน
*** วงการแพทย์แผนปัจจุบันเองก็ยังให้การยอมรับว่า “การอบสมุนไพร” สามารถช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตและน้ำเหลืองบริเวณผิวหนังดีขึ้นได้จริง ส่วนไอน้ำที่ระเหยออกมา ก็จะมีสรรพคุณตามคุณสมบัติของสมุนไพรชนิดนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ จะมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายเกิดความสดชื่น ***
3. การดื่มชาสมุนไพร กินอาหาร-ยาสมุนไพร
เป็นทางเลือกที่ทำง่ายและทำได้ทุกวัน แต่ก็ต้องยอมรับว่า คงไม่ได้ผลดีเท่ากับ 2 วิธีข้างต้น เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วย-พักฟื้น
ตัวอย่างเมนูสมุนไพรใกล้ตัวที่ช่วยกระตุ้นการขับเหงื่อที่แนะนำโดยศูนย์การเรียนรู้การดูแลสุขภาพภาคประชาชนด้านการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร
– ซุปหัวหอม : ใช้หอม 5 หัว หั่นบางๆ ทำเป็นแกงจืด อาจเติมพริกไทยและใส่เนื้อไก่ด้วยก็ได้ ปรุงรสตามชอบ ดื่มขณะอุ่นสัปดาห์ละ1 ครั้ง หลังดื่มให้ห่มผ้าหนาๆเพื่อให้เหงื่อออก
– ชาตะไคร้ใบเตย : ใช้ตะไคร้สดซอยเป็นแว่นบางๆ 1 กำมือ คั่วไฟอ่อนๆพอเหลือง ชงเป็นชาหรือต้มเป็นน้ำสมุนไพร ใส่ใบเตยให้มีกลิ่นหอม เติมน้ำตาลเล็กน้อย ดื่มครั้งละ 1 ถ้วย
– ขิงต้มน้ำตาลทรายแดง : ใช้ขิงสด 1 แง่ง ล้างสะอาด หั่นเป็นแผ่นบางๆต้มน้ำ แล้วเติมน้ำตาลทรายแดงพอประมาณ ดื่มขณะอุ่นสัปดาห์ละ1 ครั้ง หลังดื่มให้นอนห่มผ้าหนาๆเพื่อให้เหงื่อออก
การขับเหงื่อเพื่อช่วยร่างกายระบายพิษ แม้จะทำง่ายและมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ควรทำอย่างพอดี ไม่ทำนานหรือหนักเกินไป จนร่างกายสูญเสียน้ำเกินพอดี

และที่สำคัญ อย่าลืมเติมน้ำสะอาด(น้ำเปล่าไม่เย็น)ให้ร่างกาย เพื่อทดแทนเหงื่อที่สูญเสียไป ด้วยการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ประมาณ 1.5-2ลิตรต่อวัน...
"มาฝึกเป็นหมอดูแลตัวเองกันเถอะ เพราะหมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา"

ล้างพิษง่ายๆ เหงื่อออกเท่าไหร่ พิษในร่างกายก็ลดลงเท่านั้น

ขอบคุณข่าวจาก 
FB ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์