‘อ่านเม้นแล้วหดหู่เหลือเกิน เอางี้นะครับ แพทย์จุฬาคนที่ให้ข่าว กับหมอท่านอื่นๆที่ออกมาเปิดประเด็นเรื่องนี้ ทำงานอยู่ รพ รัฐแทบทั้งหมดเลยว่ะ คือไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับค่ารักษามะเร็งอยู่แล้ว ต่อให้คนไข้เลิกใช้สมุนไพรแล้วกลับมารักษาด้วยเคมีบำบัดมากขึ้น หมอพวกนี้ก็ไม่ได้เงินมากขึ้นแต่ประการใด เงินเดือน ค่าเวรอะไรต่อมิอะไรก็ได้เท่าเดิมแหละ จริงๆหมอจุฬาท่านนั้นออกมาเปิดประเด็นเรื่องนี้แล้ว ยิ่งทำให้งานเขาหนักมากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะคนไข้ที่ได้รับข้อมูลถูกต้อง เขาจะได้เลิกกินทุเรียนเทศแล้วมารักษากับเขาตามแนวทางที่ควรเป็น
ที่เขาเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาทั้งๆที่มันทำให้เขาต้องทำงานหนักมากขึ้น เหตุผลก็มีแค่เรื่องเดียวครับ คือสวัสดิภาพของคนไข้ ทุกวันนี้คนไข้ที่ป่วยเป็นมะเร็ง หลงเชื่อพวก FWD ไร้สาระในอินเตอร์เน็ทเฟซบุ๊คเป็นอันมาก บางคนเห็นไอ้พวกนี้โม้เหม็นว่ารักษามะเร็งได้นะ แจ่มกว่าเคมีบำบัดนะ ทั้งๆที่ไม่งานวิจัยเป็นชิ้นเป็นอันในมนุษย์มารองรับคำโฆษณานั้น คนไข้เขาก็เชื่อว่ามันจะช่วยเขาได้จริงๆ เพราะมันเหมือนหยิบยื่นความหวังให้กับเขาไง
หารู้ไม่ว่านั่นไม่ใช่ความหวัง แต่คือความสิ้นหวัง มะเร็งเนี่ย ล่าช้าไม่ได้นะครับ ตรวจเจอว่าเป็น ต้องรีบรักษาให้ไวเลย ถ้าคุณมัวแต่พาคนไข้ไปกินน้ำใบทุเรียนเทศซักสองสามเดือน คิดว่าทดลองกินแค่นี้ไม่น่าเป็นไรหรอกน่า แค่สองสามเดือนเนี่ย มะเร็งสามารถเปลี่ยนระยะจากระยะที่พอรักษาให้หายขาดได้ กลายเป็นระยะแพร่กระจายที่ยากจะรักษาให้หายได้เลยนะคุณ
บางคนก็กินสมุนไพรพวกนี้จนเกิดผลแทรกซ้อน ไตพังมั่ง ตับพังมั่ง จนต้องรักษาเรื่องตับไต จนการรักษามะเร็งด้วยเคมีบำบัดล่าช้าไปอีก หรืออาจไม่ได้รักษาเลยเพราะคนไข้เสียชีวิตจากไตวาย ตับวายไปเสียก่อน
ส่วนฤทธิ์ของทุเรียนเทศในการรักษามะเร็งเนี่ยทำได้มั้ย
คำตอบคือ ยังไม่มีงานวิจัยในมนุษย์ที่ยืนยันว่ามันสามารถรักษามะเร็งได้จริงนะครับ การทดลองในหลอดทดลองว่ามันฆ่าเซลล์มะเร็งได้ ก็ไม่ได้บอกว่ามันใช้รักษาโรคมะเร็งได้ เหมือนคุณเทน้ำยาล้างห้องน้ำลงไปในหลอดทดลอง มันก็ฆ่าเซลล์มะเร็งได้เหมือนกัน แต่เคยเห็นใครใช้เป็ดโปรรักษามะเร็งมั้ยล่ะ
ถ้าใครจะลองพาญาติไปกินน้ำใบทุเรียนเทศเพื่อรักษามะเร็ง
จ่าขอแนะนำง่ายๆว่า ลองถามหางานวิจัย จากพวกพ่อค้าแม่ค้าดูนะครับ
ถ้ามันไม่มี สิ่งที่คุณกำลังกินอยู่ ก็ไม่ต่างไปจากกินยาผีบอกซักเท่าไหร่หรอก'