ในอนาคตคอมพิวเตอร์จะอยู่ในกระแสเลือด ฝังในสมอง หรือสมองอาจจะกลายเป็นจักรกล
ไม่เพียงเท่านั้น เขาเคยได้รับปริญญาบัณฑิตกิตติมศักดิ์มากว่า 20 ใบ และเคยคว้ารางวัลทางวิทยาศาสตร์หลายสาขา อาทิ รางวัลเหรียญทองแห่งชาติด้านเทคโนโลยี อันเป็นรางวัลสูงสุดที่รัฐบาลสหรัฐฯ มอบให้กับผู้บุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ๆ ในปี 1999, รางวัล อาเธอร์ ซี คลาร์ก ด้านการเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ สาขาผู้ประสบความสำเร็จในวิชาชีพ เมื่อปี 2009, รางวัลด้านวิสัยทัศน์ ซิลิคอน วัลเลย์ เมื่อปี 2014 ฯลฯ
นิตยสารฟอร์บส์ ยกย่องเขาว่าเป็น “สุดยอดเครื่องจักรนักคิด” หนังสือพิมพ์ เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล เรียกเขาว่า “จอมอัจฉริยะผู้ไม่เคยหลับใหล” และ บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ยกย่องว่า “เขาคือผู้ทำนายอนาคตคนสำคัญที่สุดของโลก” เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ซึ่งเกิดขึ้นจริงมาแล้วมากมาย อาทิ การล่มสลายของสหภาพโซเวียต หรือการทำนายว่าอินเทอร์เน็ตจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตประจำวัน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า The Singularity is Near ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหรือล้อเล่นเลย โดยเฉพาะเมื่อหนังเปิดฉากด้วยประโยคสุดท้าทายของเขาว่า
“นี่คือเรื่องราวของชะตากรรมแห่งมนุษย์จักรกลในโลกอารยะ ชะตากรรมที่เรากล่าวอ้างถึงนี้คือ…ซิงกูลาริตี้”
ว่าแต่ “ซิงกูลาริตี้” คืออะไร?
“ซิงกูลาริตี้ คือยุคแห่งอนาคต ซึ่งเทคโนโลยีจะก้าวกระโดดอย่างเร่งรีบรวดเร็ว และมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการเปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิตของมนุษยชาติในปัจจุบันไปอย่างสิ้นเชิง” เคิร์ซวีลเกริ่นนำ พร้อมกับคลิปอีกมากมายที่เขาเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ เช่น “เป็นยุคที่เราจะแยกไม่ออกเลยว่าคนไหนคือหุ่นยนต์ คนไหนคือมนุษย์จริงๆ”, “คอมพิวเตอร์จะไม่ใช่แค่เล็กๆ ยัดใส่กระเป๋าได้เท่านั้น แต่มันจะถูกฝังกลายเป็นส่วนหนึ่งภายในร่างกาย หรืออยู่ภายในสมองของเราเลย มนุษย์จะกลายเป็นชีวภาพไฮบริด และชีวะ-จักรกล ฉลาดล้ำแบบปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ” ฯลฯ
โดยเขาระบุเพิ่มเติมว่า “ย้อนกลับไปเมื่อห้าร้อยปีก่อนในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีไม่ได้พัฒนาอะไรมากนัก แต่เดี๋ยวนี้มันกลับก้าวกระโดดภายในเวลาแค่เพียงครึ่งปี ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้จะเร็วขึ้นและเร็วขึ้น มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมและภายในร่างกายมนุษย์ สิ่งเหล่านี้แหละคือ ซิงกูลาริตี้ (ในทางฟิสิกส์เรียกว่าภาวะเอกฐาน หรือเอกภาวะ)