1. เรียนดนตรี
ผลการศึกษาพบว่าการเรียนดนตรีจะทำให้เด็กๆ ฉลาดขึ้น เมื่อเปรียบเทียบระดับไอคิว (IQ) ระหว่างกลุ่มเด็กที่เรียนดนตรีกับกลุ่มเด็กที่ไม่ได้เรียนดนตรี พบว่ากลุ่มที่เรียนดนตรีจะมีไอคิว โดยรวมสูงกว่า
2. เล่นกีฬา
สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงส่งผลให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น ในปี ค.ศ. 2007 นักวิจัยชาวเยอรมันพบว่าคนเราจะสามารถท่องจำคำศัพท์ได้เร็วขึ้น 20% หลังจากการออกกำลัง นอกจากนี้จากการศึกษาของ นพ. จอห์น ราเทย์ ค้นพบว่าเมื่อให้กลุ่มอาสาสมัครออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นระยะเวลา 3 เดือน สมองส่วนที่ควบคุมความจำจะทำงานได้ดีขึ้นถึง 30%
3. อ่านหนังสือกับลูก
ถ้าคุณพ่อคุณแม่มีลูกเล็กๆ ที่กำลังเริ่มหัดอ่านหนังสือ อย่าปล่อยให้ลูกนั่งมองภาพสวยๆ ขณะที่คุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือให้ฟังเท่านั้น แต่ควรให้ลูกอ่านคำบางคำในหนังสือไปด้วย คุณพ่อคุณแม่ควรอ่านไปพร้อมๆ กับลูก ไม่ใช่อ่านให้ลูกฟังเพียงอย่างเดียวค่ะ
4. นอนหลับอย่างเพียงพอ
ผู้เชี่ยวชาญพบว่าการนอนหลับไม่เพียงพอเพียง 1 ชั่วโมง จะทำให้สมองของเด็ก ป. 6 มีประสิทธิภาพลดลงไปเท่ากับเด็ก ป.4 และผลการเรียนของเด็กๆ ก็มีความเกี่ยวข้องกับระยะเวลาในการนอนหลับด้วย จากการศึกษาพบว่าเด็กวัยรุ่นที่ได้เกรดเฉลี่ยเท่ากับ เอ (A) นอนหลับนานกว่าเด็กที่ได้เกรดเฉลี่ยเท่ากับ บี (B) ประมาณ 15 นาที และเด็กที่ได้เกรดเฉลี่ย บี (B) จะนอนหลับนานกว่าเด็กที่ได้เกรดเฉลี่ย ซี (C) ประมาณ 15 นาทีเช่นกัน
5. ไอคิว (IQ) ไม่สำคัญเท่าความมีวินัย
ความมีวินัยต่อตัวเองส่งผลต่อการประสบความสำเร็จมากกว่าผลคะแนนไอคิว (IQ) เด็กๆ ที่มีความมุ่งมั่นจะมีผลการเรียนที่ดีกว่าและสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้มากกว่า เด็กกลุ่มนี้จะไม่ค่อยหยุดเรียน ไม่ค่อยดูโทรทัศน์ และจะใช้เวลาในการทำการบ้านและทบทวนบทเรียนมากกว่า
เด็กกลุ่มนี้จะตั้งเป้าหมายในชีวิต และเพียรพยายามจนสำเร็จ พวกเขาสามารถฝ่าฟันอุปสรรคโดยไม่ย่อท้อหรือล้มเลิกกลางคัน
6. เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ
เมื่อนักวิจัยลองให้เด็กเล็กเรียนคำศัพท์ผ่านการดูจากดีวีดีเพียงอย่างเดียว พบว่าเด็กๆ ไม่สามารถจำคำศัพท์ได้มากเท่ากับกลุ่มที่เรียนคำศัพท์ผ่านการเล่นและลองฝึกฝนจริง
สมองของมนุษย์จะเรียนรู้ได้ดีกว่าเมื่อผ่านการทดลองปฏิบัติจริง ดังนั้นหลังจากเด็กๆ อ่านหนังสือจบ คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลองทำแบบฝึกหัดควบคู่ไปด้วยทุกครั้ง เพื่อให้สมองสามารถจดจำและเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น
7. ของหวานก็มีประโยชน์ หากให้กินในเวลาที่เหมาะสม
แน่นอนว่าเด็กๆ ที่ได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจะเรียนหนังสือได้ดีขึ้น เมื่อนักทดลองเปรียบเทียบเด็กกลุ่มที่ได้กินอาหารที่มีประโยชน์ กับกลุ่มที่กินอาหารไม่มีประโยชน์ พบว่าเด็กๆ ที่กินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ติดต่อกันนาน 5 วัน จะมีสมาธิลดลงและความคิดช้าลง
อย่างไรก็ตามยังมีผลการวิจัยล่าสุดพบข้อดีของอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และของหวาน ว่ามีผลช่วยทำให้สมาธิและความจำดีขึ้น ดังนั้นหากเด็กๆ กำลังเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือสอบ คุณพ่อคุณแม่อาจให้กินน้ำอัดลมและขนมชิ้นโปรดบ้างก็ได้ แต่อย่าให้กินบ่อยจนเกินไปค่ะ
8. เด็กที่มีความสุขจะประสบความสำเร็จมากกว่า
เด็กที่มีความสุขจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัว พวกเขาจะได้ทำงานตำแหน่งสูง มีรายได้ดี และเมื่อพวกเขาแต่งงาน พวกเขาจะไม่ค่อยหย่าร้าง
9. สิ่งแวดล้อมที่ดีมีผลต่อความฉลาด
แม้พันธุกรรมจะมีผลต่อความฉลาดของเด็ก แต่การเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมกลับส่งผลต่อความฉลาดมากกว่า เมื่อนักวิจัยศึกษากลุ่มเด็กที่เป็นบุตรบุญธรรม พบว่าแม้พวกเขาจะไม่ได้มีพันธุกรรมเหมือนพ่อแม่บุญธรรมเลย แต่ความฉลาดของเด็กกลุ่มนี้ขึ้นกับการเลี้ยงดูของพ่อแม่บุญธรรมมากกว่า
นอกจากครอบครัวแล้ว ชุมชนที่เด็กอาศัยอยู่และสังคมในโรงเรียนก็มีผลต่อความฉลาดของเด็กๆ เช่นเดียวกันค่ะ
เมื่อวิทยาลัยดาร์ทเม้าท์ ทดลองนำนักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยต่ำ ไปนั่งเรียนในห้องที่มีแต่นักเรียนเกรดเฉลี่ยสูงๆ ปรากฏว่านักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยน้อยกลับกลายเป็นมีเกรดเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
10. เชื่อมั่นในตัวลูก
การที่พ่อแม่เชื่อว่าลูกเราเป็นเด็กฉลาดสามารถสร้างความแตกต่างต่อพฤติกรรมของลูกได้มากมายค่ะ
เมื่อนักทดลองให้ครูเลือกเด็กในชั้นเรียนแบบสุ่ม (โดยไม่ได้บอกเด็กๆ ว่าเป็นการเลือกแบบสุ่มนะคะ) และให้ครูบอกกับเด็กที่ถูกเลือกว่าพวกเขาฉลาดกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ในห้อง ผลปรากฏว่าพวกเขาสามารถเรียนได้ดีขึ้นจริงๆ
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากความฉลาดแล้ว คุณธรรมและจริยธรรมก็เป็นส่วนสำคัญค่ะ เมื่อเด็กๆ มีความฉลาดแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าลืมปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้กับเด็กๆ นะคะ เพื่อที่พวกเขาจะได้นำความฉลาดไปใช้อย่างถูกวิธี และทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมต่อไปค่ะ