อันตราย เตือนพ่อแม่ระวังลูกให้ห่างจากแมลงก้นกระดก
อันตราย เตือนพ่อแม่ระวังลูกให้ห่างจากแมลงก้นกระดก
เรื่องราวของแมลงก้นกระดกเราคงพอได้ยิน ได้เห็นหลายสื่อแชร์กันมาบ้าง แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องจากคุณ Aoy Aoy Aoy ที่นำภาพของลูกมาโพสต์เตือนคุณพ่อคุณแม่ในเฟซบุ๊กว่าหลังจากลูกโดนพิษของแมลงก้นกระดกแล้วมีลักษณะอย่างไร
สำหรับอาการผิวหนังอักเสบจากแมลงก้นกระดก(Paederus dermatitis) นั้น อ.พญ.เพ็ญวดี พัฒนปรีชากุล ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้มาอธิบายถึงอาการ และการรักษาไว้ดังนี้ค่ะ
รู้จักกับแมลงก้นกระดก(Paederus dermatitis)
ภาวะที่เกิดขึ้นนี้มีชื่อว่า ผื่นผิวหนังอักเสบจากแมลงก้นกระดก หรือ Paederus dermatitis ซึ่งเป็นผื่นผิวหนังอักเสบที่เกิดจากการสัมผัสโดนสารชนิดหนึ่งจากตัวแมลงที่มีชื่อว่า ด้วงก้นกระดก หรือ ด้วงปีกสั้น หรือ ด้วงก้นงอน (Rove Beetle, ชื่อวิทยาศาสตร์: Paederus fuscipes ) เป็นแมลงขนาดเล็กประมาณ 7-8 มม. ส่วนหัวมีสีดำ ปีกน้ำเงินเข้มขนาดเล็ก และส่วนท้องมีสีส้ม แมลงชนิดนี้มักจะงอส่วนท้ายเมื่อเกาะอยู่กับพื้น จึงมักเรียกว่า "ด้วงก้นกระดก" แมลงชนิดนี้จัดอยู่ใน Genus Paederus , Family Staphylinidae, Order Coleoptera โดยพบกระจายทั่วโลก มากกว่า 600 สปีชี่ส์ โดยเฉพาะในเขตร้อนชื้น โดยมักอาศัยบริเวณพงหญ้าที่มีความชื้น ชอบออกมาเล่นไฟและแสงสว่างตามบ้านเรือน โดยเฉพาะจะมีมากในช่วงปลายฤดูฝน
อาการเมื่อโดนแมลงก้นกระดก(Paederus dermatitis)
แมลงชนิดนี้สามารถปล่อยสารที่เรียกว่า Pederin ออกมา โดยสารชนิดนี้ก่อให้เกิด
ความระคายเคืองกับผิวหนังมาก ทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังของผู้ที่สัมผัสโดน และจะมีอาการแสบร้อนหรือ คันได้เล็กน้อยโดยไม่ได้ก่อให้เกิดอาการปวดแสบรุนแรงแต่อย่างใด มีการอักเสบของผิวหนังได้โดยความรุนแรงจะขึ้นกับปริมาณความมากน้อยหรือความเข้มข้นของสาร Pederin ที่สัมผัสโดน
อาการผื่นผิวหนังจะยังไม่เกิดทันทีที่สัมผัส แต่จะเริ่มเกิดผื่นและอาการแสบเมื่อผ่านไปประมาณ 24 ชั่วโมง
ต่อมาจะเกิดเป็นผื่นแดงขอบเขตชัดเจน หรือรอยไหม้ลักษณะเป็นทางยาว โดยลักษณะที่เกิดเป็นทางยาวเพราะเกิดจากการปัดด้วยมือ หรือบางรายจะเกิดผื่นที่บริเวณซอกรอยพับที่ประกบกัน (kissing lesion) ร่วมกับตุ่มน้ำพองและตุ่มหนองใน 2-3 วัน โดยผื่นตุ่มน้ำตามบริเวณใบหน้า ลำคอ แขน มักทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นงูสวัดได้แต่แตกต่างจากผื่นงูสวัดคือผื่นผิวหนังอักเสบจากแมลงก้นกระดก จะไม่มีอาการปวดร้าวตามแนวเส้นประสาทที่ตำแหน่งที่เกิดผื่นเหมือนเช่นในงูสวัด
ผื่นที่เกิดจากการสัมผัสแมลงก้นกระดกนี้ในเวลาต่อมาผื่นหรือแผลจะตกสะเก็ดและหายได้เองได้ภายใน 7 - 10 วัน หายแล้วอาจจะทิ้งรอยดำไว้สักระยะหนึ่ง ได้แต่มักไม่เกิดเป็นแผลเป็นนอกจากมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมที่บริเวณผื่นเดิมทำให้ผื่นหายช้าลงและอาจลุกลามจนมีโอกาสเกิดเป็นแผลเป็นหลังจากผื่นหายแล้วได้
สำหรับในรายที่ผื่นเป็นบริเวณกว้าง อาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดข้อ หรืออาการคลื่นไส้อาเจียนได้ หากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้
การดูแลรักษาหากถูกตัว แมลงก้นกระดก(Paederus dermatitis)
- หากสัมผัสถูกตัวของ “แมลงก้นกระดก” แล้ว ให้รีบล้างด้วยน้ำเปล่า หรือน้ำสบู่ และประคบเย็นในบริเวณที่สัมผัสโดนแมลง
- สังเกตอาการและการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนัง ถ้าเกิดเพียงรอยแดงเล็กน้อยสามารถหายเองได้ใน 2-3 วันไม่จำเป็นต้องทายาใด
- แต่ถ้าอาการผื่นเป็นมากขึ้นหรือมีตุ่มน้ำพองเกิดขึ้นควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี โดยการรักษาผื่นก็คือการให้ครีมสเตียรอยด์ทาในผื่นแดงระยะเริ่มแรก แต่ถ้าผื่นมีตุ่มน้ำพองเป็นบริเวณกว้างหรือแผลไหม้ควรทำการประคบด้วยน้ำเกลือครั้งละ 5-10 นาที วันละ 3-4 ครั้งจนแผลแห้ง ร่วมกับพิจารณายาปฏิชีวนะชนิดรับประทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมและการรับประทานยาแก้คันเพื่อช่วยบรรเทาอาการคันในผู้ป่วยบางราย
คำแนะนำในการป้องกัน “แมลงก้นกระดก”
- ไม่ควรจับตัวแมลงมาเล่น
- ควรหลีกเลี่ยงการปัดหรือบีบตัวแมลงที่มาเกาะตามตัว
- ควรใช้วิธีเป่าแมลงให้หลุดออกไปเองโดยไม่ต้องจับโดนตัวแมลง ก่อนนอนควรปัดที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม ก่อน เพื่อป้องกัน
- ควรปิดประตูตู้เสื้อผ้า ประตูและหน้าต่างห้องนอนให้มิดชิดทั้งกลางวันและกลางคืน
- ในช่วงกลางคืนควรเปิดไฟเฉพาะเท่าที่จำเป็นโดยเฉพาะควรปิดไฟห้องนอน เพราะ “แมลงก้นกระดก” มักชอบออกมาเล่นแสงไฟตามบ้าน
เรียบเรียงจากhttp://www.si.mahidol.ac.th/
ภาพจากเฟซบุ๊ก Aoy Aoy Aoy
จาก : momypedia.com
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!