วันๆ เอาแต่ทำงานรับโทรศัพท์จนไม่มีเวลากินข้าว แต่สิ่งหนึ่งที่ เธอจะไม่มีทางพลาดนั่นก็คือการเดินสายทำบุญให้แก่เด็กๆ ในถิ่นทุระกันดานทั่วประเทศ ล่าสุดเจ้าตัวลงทุนแบกร่างเพลียๆ ขนของขึ้นดอยใส่รถกระบะเพื่อไปบริจาคให้เด็กชาวเขาในโครงการ "ยิ่งให้ยิ่งได้กับแอลเอส" ที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเลผะคีรี จ.ตาก ท่ามกลางเส้นทางที่แสนทุลักทุเล ใช้เวลาเดินทางขึ้นเขากว่า 4 ชั่วโมง เมื่อถึงจุดหมายเจ้าตัวถึงกับน้ำตาแตกทนเห็นความลำบากของเด็กๆ ชาวเขาไม่ไหว พร้อมเผยประสบการณ์ถึงสาเหตุที่ทำให้ตนต้องออกมาช่วยเหลือเด็กทั่วประเทศ เพราะเคยเกือบฆ่าลูกตัวเอง
"ด้วยความที่เมื่อก่อนเราเคยลำบากมาก่อน ยังไม่สบายเหมือนทุกวันนี้ เรารู้ถึงความขัดสน ความไม่มี ว่ามันเป็นยังไง แถมตอนนั้นลูกชายคนเล็กของเราก็ป่วยเป็นโรคหนังตาตกทำให้ขนตาไปทิ่มตา หมอบอกถ้าปล่อยไว้ไม่รักษาก็อาจจะตาบอดได้
ตอนนั้นเราก็ค่อนข้างเสียใจนะที่เราไม่มีเงินรักษาลูกเพราะต้องใช้เงินเป็นแสน ก็เลยอธิษฐานให้ตัวเองมีเงิน ทำมาค้าขายรวยๆ จะได้มีเงินมารักษาลูกให้หาย ปรากฏว่าคำอธิฐานของเราเป็นจริง ธุรกิจที่ทำเติบโตอย่างรวดเร็ว มีเงินซื้อบ้านซื้อรถและค่าผ่าตัดลูก
หลินเคยเกือบฆ่าลูกของตัวเอง หลินร้องไห้ทั้งวันตอนที่หลินพาลูกเข้าห้องผ่าตัดซึ่งหมอก็บอกแล้วว่ามัน 50/50นะ เพราะลูกเรายักเล็กการวางยาสลบมันมีผลทำให้เด็กไม่ตื่น
หมอทำการผ่าตัดทั้งหมด 6 ชั่วโมง พอออกจากห้องผ่าตัดหมอบอกว่าให้หลินทำใจนะ ถ้าภายใน 9ชั่วโมงลูกเราไม่ตื่นแสดงว่าเขาไปแล้ว หลินได้แต่ร้องไห้ บนบานศาลกล่าวทุกที่ขอให้ลูกปลอดภัย จนเวลาผ่านไปเกือบ 9ชั่วโมงลูกเราก็ยังไม่ตื่น
ตอนนั้นร้องไห้อย่างเดียว ได้แต่ด่าตัวเอง “นี่ฉันเอาลูกมาตายเหรอ นี่เราฆ่าลูกเราเหรอ แม่ไม่ได้ฆ่าลูกนะ แม่พาลูกมารักษาตื่นเถอะลูกของแม่ ตื่นเถอะ ตื่นมา ตื่นมาลูกแม่” หลินได้แต่กอดลูกรอความหวังว่าปฏิหารจะเกิดขึ้นกับลูกเรา สุดท้ายลูกเราก็ตื่นขึ้นมาจริงๆในวินาทีสุดท้าย ตอนนั้นเหมือนทุกอย่างโล่งยกภูเขาออกจากอก
นี่แหละเป็นเหตุผลที่หลินถึงต้องออกมาจัดตั้งโครงการ “ยิ่งให้ยิ่งได้กับแอลเอส” ก็เลยสัญญากับตัวเองว่าต่อไปนี้ถ้าตราบใดที่เรายังไม่ตายเราจะเดินสายทำบุญให้กับเด็กๆ ที่ตกยากทั่วประเทศ เพราะเราเชื่อว่าการทำบุญกับเด็กๆ จะช่วยส่งผลให้ลูกเราหายดีเป็นปกติ