ปัญหาการนอนไม่ได้มีเพียงแค่การนอนน้อยหรือนอนหลับไม่เพียงพอเท่านั้น แต่การนอนมากเกินไปก็เป็นอีกหนึ่งตัวปัญหาที่ทำร้ายร่างกายของคุณได้
วันนี้เราจึงมี 7 ข้อเสียเมื่อคุณนอนมากเกินไป มานำเสนอ เพื่อให้คุณตรวจสอบตนเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนที่สุขภาพจะพัง
1. เพิ่มความเสี่ยงโรคซึมเศร้า
ผู้ที่นอนหลับระหว่าง 7-9 ชั่วโมง มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าร้อยละ 27 ขณะที่ผู้ที่นอนหลับนาน 9 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นจะมีโอกาสเสี่ยงมากถึงร้อยละ 49
2. ทำลายสมอง
มีการศึกษาในปี 2012 พบว่าหญิงชราที่นอนหลับมากเกินไปหรือน้อยเกินไปนานติดต่อกันมากกว่า 6 ปี สมองจะเสื่อมประสิทธิภาพในการทำงาน เช่นเดียวกับหญิงสาวซึ่งนอนหลับมากกว่า 9 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า 5 ชั่วโมงก็จะมีสมองที่แก่เร็วกว่าปกติถึง 2 ปี
3. ตั้งครรภ์ยากขึ้น
ในปี 2013 ทีมวิจัยของเกาหลีได้วิเคราะห์พฤติกรรมการนอนหลับของผู้หญิงที่มีปัญหาในการตั้งครรภ์มากกว่า 650 คน พบว่าอัตราการตั้งครรภ์จะสูงที่สุดในกลุ่มของผู้หญิงที่นอนหลับระหว่าง 7-9 ชั่วโมงและต่ำที่สุดในกลุ่มของผู้หญิงที่นอนหลับระหว่าง 9-11 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบสาเหตุที่เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน แม้เราจะรู้ว่าพฤติกรรมการนอนหลับสามารถส่งผลต่อระบบนาฬิกาชีวภาพ การหลั่งฮอร์โมน และรอบเดือนได้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับภาวะมีบุตรยากเนื่องจากมีปัจจัยที่ยากเกินการควบคุมมากเกินไป
4. เพิ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน
นักวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับมากกว่า 8 ชั่วโมง จะมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 มากกว่าผู้ที่นอนหลับระหว่าง 7-8 ชั่วโมง มากถึง 2 เท่า แม้ว่าจะมีการควบคุมการเปลี่ยนแปลงของมวลร่างกายแล้วก็ตาม
5. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
ผู้ที่นอนหลับนานหรือน้อยเกินไปจะมีน้ำหนักตัวมากกว่าผู้ที่นอนหลับระหว่าง 7-8 ชั่วโมง โดยร้อยละ 25 ของผู้ที่นอนหลับระหว่าง 9-10 ชั่วโมงมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 5 กิโลกรัม แม้ว่าจะมีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้วก็ตาม
6. บั่นทอนสุขภาพหัวใจ
ผู้ที่นอนหลับนาน 8 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น มีแนวโน้มที่จะมีปัญหาสุขภาพหัวใจเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น 2 เท่า และโรคหลอดเลือดแดง 1.1 เท่า
7. เสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ในปี 2010 นักวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับทั้งนานและน้อยเกินไปมีโอกาสเสี่ยงในการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยผู้ที่นอนหลับนานกว่า 8 ชั่วโมง จะมีโอกาสเสี่ยงในการเสียชีวิตมากกว่าผู้เข้าร่วมการทดลองจำนวน 1,382,999 คนถึง 1.3 เท่า