กระทั่งวันที่ 20 พฤศจิกายน 2511 เกิด "วันเสียงปืนแตก" ที่บ้านห้วยทรายใต้ อ.นครไทย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ได้เคลื่อนไหวปฏิบัติการรุนแรงยิ่งขึ้น ซุ่มยิง โจมตีฐานปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ และลอบยิงราษฎรได้รับบาดเจ็บล้มตายอยู่ตลอดเวลา
ย้อนรอย วีรกรรม บ้านหมากแข้ง สมรภูมิ พระราชา
กระทั่งเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2519 ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ได้ลอบเข้าโจมตีที่ฐานปฏิบัติการของตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ทำให้ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บสาหัส 1 นาย ทาง "กองบัญชาการผสมพลเรือนตำรวจทหาร 1617" ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับ ทว่าขณะที่นักบินนำเครื่องขึ้นได้ถูกผู้ก่อการร้ายยิงตกลงมา
ในวันต่อมาเมื่อหน่วยเหนือส่งกำลังไปช่วยเหลือก็ถูกผู้ก่อการร้ายระดมยิงจนนักบินไม่สามารถนำเครื่องลงได้ ต้องนำกำลังทั้งหมดไปส่งลงที่ฐานบ้านห้วยมุ่น และให้กำลังพลทั้งหมดเดินเท้าไปยัง"ฐานบ้านหมากแข้ง" แต่ระหว่างทางถูกผู้ก่อการร้ายซุ่มยิง ทำให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บอีก 3 นาย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงทราบ ด้วยความห่วงใยพระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ "ร้อยเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร" (พระอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมทหาร ตำรวจและราษฎรในพื้นที่ โดยวันที่ 5 พฤศจิกายน 2519 ร้อยเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งไปฐานปฏิบัติการบ้านห้วยมุ่น หลังจากประทับรับฟังการบรรยายสรุปแล้ว พระองค์ได้ทรงมีรับสั่งกับ พล.ท.สมศักดิ์ ปัญจมานนท์ แม่ทัพภาคที่ 3 (ในขณะนั้น) ด้วยพระสุรเสียงอันหนักแน่นว่า...
"จะต้องไปแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นให้ได้"
แม้ แม่ทัพภาคที่ 3 จะกราบบังคมทูลทัดทานเนื่องจากสถานการณ์ขณะนั้นไม่น่าไว้วางใจ แต่พระองค์ก็ทรงยืนยันอย่างหนักแน่นว่า...
"ชักช้าไม่ได้ ต้องไปแก้ไขให้ได้ในวันนี้ และเดี๋ยวนี้"
พระองค์ได้ทรงออกคำสั่งให้ทหารตามเสด็จฯมาด้วยทุกคน แยกย้ายกันนำทหารยิงโต้ตอบผู้ก่อการร้ายและมีคำสั่งให้ปืนใหญ่จาก "ฐานบ้านห้วยมุ่น"ยิงถล่มผู้ก่อการร้ายทันที พร้อมกันนั้นพระองค์ได้เสด็จฯไปยัง "หลุมบุคคล" รอบฐานปฏิบัติการ ทรงให้คำแนะนำแก่ทหารถึงวิธีวางกำลัง การจัดฐานและวางระบบป้องกันตนเอง รวมทั้งทรงแนะนำเรื่องการกำหนดมุมยิงของปืนใหญ่ และเครื่องยิงลูกระเบิดด้วย
กระทั่งเวลา 16.00 น. ผู้ก่อการร้ายยังระดมยิงก่อกวนอยู่ตลอดเวลา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จึงทรงบัญชาการให้ทหารยิงโต้ตอบ พร้อมสั่งการให้ชุดปฏิบัติการออก "ลาดตระเวน" พิสูจน์ทราบ โดยทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดด้วยพระองค์เอง ทั้งๆ ที่แม่ทัพภาคที่ 3 ได้กราบบังคมทูลทัดทาน ด้วยเกรงว่าพระองค์จะทรงเป็นอันตราย แต่พระองค์ทรงมีรับสั่งว่า...
"ฉันต้องไปเพราะว่าเป็นหน้าที่ของทหาร"
ท่ามกลางสถานการณ์ "ตรึงเครียด" เพราะผู้ก่อการร้ายยังคงยิงเข้ามาไม่ขาดระยะ พระองค์ได้ทรงมีรับสั่งให้จัดชุดปฏิบัติการ นำพระองค์ไปยัง "หมู่บ้านหมากแข้ง" โดยทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการมาก และเส้นทางมีอันตรายรอบด้าน
การเสด็จฯไปยังหมู่บ้านหมากแข้งแห่งนี้ทรงมีพระราชประสงค์เพื่อฟื้นฟูขวัญกำลังใจแก่ราษฎร ท่ามกลางความปลื้มปีติยินดีของชาวบ้าน พระองค์ได้ทรงไต่ถามทุกข์สุข และขอให้ราษฎรทุกคนอย่าได้ย่อท้อวิตกกังวล ขอให้เชื่อมั่นว่า "ทหารจะคุ้มครองความปลอดภัยให้อย่างเต็มที่"
หลังจากนั้นได้เสด็จฯไปยังบริเวณที่เฮลิคอปเตอร์ถูกยิงตก ทรงตรวจสภาพเฮลิคอปเตอร์อยู่เป็นเวลานาน และต่อมาได้เสด็จฯไป "โรงเรียนบ้านหมากแข้ง" ที่เคยถูกผู้ก่อการร้ายปิดล้อมและยึดไว้ และฝ่ายรัฐยึดกลับคืนมาได้ โดยพระองค์ได้ให้กำลังใจครูและนักเรียนให้หายจากความหวาดกลัว
คืนนั้นพระองค์ได้ "ประทับแรม" ที่ฐานปฏิบัติการ โดยเข้าที่บรรทมเวลา 24.00 น. บรรทมในหลุมบุคคล ซึ่งมีความลึกประมาณ 2 ฟุต หลังคามุงด้วยหญ้าคา ในหลุมมีแค่ "ผ้าปันโจ"(ผ้าปูพื้นสำหรับการเดินป่า) สำหรับปูรองพื้น ใช้เป้ทหารหนุนพระเศียร และบรรทมในชุดเครื่องแบบสนามที่ทรงนำไปชุดเดียว โดยไม่มีเสื้อแจ๊กเกตฟิลด์ (เสื้อกันหนาวสีเขียวของทหาร) กันหนาว หรือผ้าห่มแม้แต่ผืนเดียว ทั้งที่คืนนั้นอากาศค่อนข้างหนาวเย็น
รุ่งเช้าวันที่ 6 พฤศจิกายน 2519 พระองค์ทรงตื่นบรรทมในเวลา 05.00 น. และมิได้ทรงสรงพระพักตร์ พระองค์ได้เสด็จฯนำแม่ทัพภาคที่ 3 และคณะไปตรวจการวางกำลัง และทรงควบคุมการกู้กับระเบิดรอบฐาน และทรงมีรับสั่งให้จัดกำลังออกพิสูจน์ทราบเส้นทาง และพื้นที่เนินเขาบริเวณหมู่บ้านอีกครั้ง
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ทรงพระเจริญ!!!