การศึกษาชี้ว่าการดื่มกาแฟปริมาณ 400 มิลลิกรัมต่อวันจะไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสำหรับผู้ใหญ่ ขณะที่ขีดจำกัดสำหรับสตรีมีครรภ์คือ 300 มิลลิกรัมต่อวันและเด็กอยู่ที่ประมาณ 1.1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 ปอนด์
ด้วยเหตุนี้สถาบัน International Life Sciences Institute (ILSI) สาขาอเมริกาเหนือซึ่งเป็นมูลนิธิไม่แสวงผลกำไรที่ศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยทางอาหารและโภชนาการจึงได้ทำการทดลองกับมนุษย์มากกว่า 700 ครั้งและเผยแพร่ข้อมูลลงในวารสารตั้งแต่ปี 2001-2015
กลุ่มนักวิจัยได้มุ่งเน้นไปที่คาเฟอีนว่ามีบทบาทอย่างไรในประเด็นทั้ง 5 ข้อดังต่อไปนี้ ความเป็นพิษ สุขภาพกระดูกและการบริโภคแคลเซียม ผลกระทบต่อหลอดเลือดและหัวใจ (รวมถึงความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ) สุขภาพที่เกี่ยวข้องทางพฤติกรรม (อาการปวดศีรษะ อารมณ์ และการนอนหลับ) การสืบพันธุ์และพัฒนาการ (รวมถึงภาวะเจริญพันธุ์ การแท้งบุตร และความพิการแต่กำเนิด)
ปัจจุบันชาวอเมริกามากกว่าร้อยละ 90 บริโภคคาเฟอีนน้อยกว่าวันละ 400 มิลลิกรัมซึ่งสนับสนุนมาตรฐานความปลอดภัยต่อการบริโภคในสหรัฐ แม้ว่าจะมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจำกัดการบริโภคคาเฟอีนของเด็กๆ แต่ก็ไม่มีคำแนะนำให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกายังยืนยันว่าเด็กๆควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนโดยเฉพาะเครื่องดื่มชูกำลัง
การศึกษาได้รวมถึงการสำรวจแหล่งเครื่องดื่มคาเฟอีนต่างๆ เช่น กาแฟ ชา ช็อคโกแลต เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ แต่การสำรวจไม่ได้ประเมินถึงผลกระทบที่มีต่อสุขภาพซึ่งเกี่ยวข้องกับแหล่งต่างๆดังกล่าว ทั้งนี้เมื่อพูดถึงการบริโภคคาเฟอีน อย่าลืมว่าเราหมายถึงทั้งในอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด ยกตัวอย่างเช่นกาแฟอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและอาจช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองตีบ และโรคเบาหวาน ในทางกลับกันน้ำอัดลมและเครื่องดื่มรสกาแฟอื่นๆจะมีแคลอรี่สูงหรือสารให้ความหวานเทียม ขณะที่เครื่องดื่มชูกำลังมีน้ำตาลและสารกระตุ้นอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านสุขภาพ
แม้ว่าการบริโภคคาเฟอีนวันละ 400 มิลลิกรัมจะไม่เป็นอันตรายแต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยสำหรับทุกคนเนื่องจากระบบการเผาผลาญคาเฟอีนของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน กาแฟถ้วยเล็กสำหรับบางคนอาจทำให้รู้สึกกระสับกระส่ายไม่เท่ากัน จงรับฟังเสียงร่างกายของตัวเองและถ้าคุณมีแนวโน้มว่ารู้สึกกระวนกระวายใจก็ควรพยายามหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มคาเฟอีน หากคุณรู้สึกว่าตัวเองเริ่มติดกาแฟก็ควรพยายามนอนหลับให้เพียงพอหรือปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับสาเหตุที่อาจทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย อย่างไรก็ตามการศึกษาล่าสุดพบว่าการเดินขึ้นลงบันได 10 นาทีจะทำให้คุณมีพลังงานมากกว่าการบริโภคคาเฟอีนปริมาณ 50 มิลลิกรัมเสียอีก