ทำความรู้จัก “U=U- เพร็พ” มีเซ็กส์ไม่ติดเอดส์จริงหรือ?


ทำความรู้จัก “U=U- เพร็พ” มีเซ็กส์ไม่ติดเอดส์จริงหรือ?

จากกรณีประเด็นร้อน "พีท คนเลือดบวก" เปิดคอร์สสอนคนติดเชื้อเอชไอวีมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย จนเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากว่า ในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีกินยาต้านไวรัสจนตรวจไม่พบเชื้อไวรัสแล้ว จะมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อที่กินยาต้านไวรัสเช่นกัน รวมทั้งคู่นอน โดยไม่สวมถุงยางอนามัยปลอดภัยจริงหรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ พญ.นิตยา ภานุภาค พึ่งพาพงศ์' หัวหน้าหน่วยป้องกัน ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวถึงการติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยว่า จากตัวเลขคาดประมาณของประเทศไทยคาดว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 6,000-7,000 ราย ต่อปี และมีตัวเลขสะสมของผู้ที่ติดเชื้อทั้งหมดประมาณ 1 ล้านกว่าคน โดยเป็นผู้มีชีวิตอยู่ประมาณ 5.5 แสนคน

ในปัจจุบันมีผู้เข้าสู่ระบบการรักษาไม่ว่าจะเป็นสิทธิ สปสช. ประกันสังคม ข้าราชการ ประมาณ 3 แสนกว่าราย ดังนั้นจะมีประมาณ 1 แสนกว่ารายที่อาจไม่ได้มาตรวจหาการติดเชื้อ หรือทราบว่ามีเชื้อแล้ว เคยตรวจเลือดแล้วแต่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการรักษา

การที่ผู้ติดเชื้อไม่มาตรวจร่างกายอาจจะเป็นด้วยเรื่องความรู้ไม่ถูกต้อง อาจจะล้าหลัง สมัยก่อนจะเข้าสู่ระบบการตรวจรอป่วยก่อนแล้วไปตรวจ เพราะรู้ว่ามีเชื้ออาจไม่มียารักษา แต่ปัจจุบันตรวจได้เร็ว มีหรือไม่มีเชื้อภายในไม่เกิน 4 สัปดาห์ ปัจจุบันพอตรวจแล้วรู้ว่าติดเชื้อเอชไอวีกินยาในวันนั้นได้เลยเพื่อลดจำนวนเชื้อลงได้เร็วและเข้าสู่สิ่งที่เราเรียกว่า U=U ไม่เจอเชื้อเท่ากับไม่แพร่เชื้อให้ใคร

องค์ความรู้ปัจจุบันเมื่อรู้ว่าติดเชื้อแล้วให้ยาต้านไวรัสทันที ประโยชน์กับร่างการมหาศาล เพราะทุกวันที่เราปล่อยให้มีเชื้อในร่างกายจะก่อให้เกิดการทำลายอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ทำลายภูมิคุ้มกันลงไปทุกวัน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ลดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว และลดโอกาสที่จะถ่ายทอดเชื้อให้คนอื่น ปัจจุบันผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ รับยาต้านไวรัสแล้ว กดเชื้อลงจนตรวจไม่พบ สามารถที่จะมีอายุขัยยืนยาวเหมือนกับคนที่ไม่มีเชื้อ



จะต้องกินยาต้านไวรัสนานแค่ไหนจึงจะตรวจไม่พบเชื้อ?

เป้าหมายการรักษาของเราคือการกดเชื้อไวรัสในเลือดลงให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบให้เร็วที่สุด เร็วช้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่โดยเฉลี่ยใครก็ตามที่เริ่มยาต้านไวรัสแล้ว เมื่อผ่านไป 6 เดือนจะมีอย่างน้อย ๆไม่ต่ำกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ที่จะมีปริมาณเชื้อในเลือดที่ตรวจไม่พบ เราก็หวังจำนวนตรงนี้จะไต่ไปจนถึง 100 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลา 1 ปี ดังนั้นใครก็ตาม 6 เดือนแล้ว 12 เดือนแล้ว กินยาต้านไวรัสแล้วยังเจอปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดอยู่ ก็ต้องสงสัยว่า กินยาหรือเปล่า กินยาได้ดีหรือไม่ มีผลอะไรที่ทำให้กินยาไม่ครบ ไม่ตรงเวลาหรือเปล่า หรือเป็นเพราะรับเชื้อดื้อยาก่อนที่จะเริ่มต้นการรักษาก็อาจเป็นไปได้ แต่ตรงนั้นจะเป็นส่วนน้อยมา ๆ แต่ถ้าถามว่า 100 คนกินยาต้านไวรัส 95 คนขึ้นไปเขาตรวจจะต้องไม่เจอเชื้อในเลือดแล้ว

ถ้าคนกลุ่มนี้ไปมีเพศสัมพันธ์กับคนติดเชื้อเหมือนกันโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยจะมีผลอย่างไร ?

ถ้าเขาตรวจเลือดไม่พบเชื้อแล้วไปมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เขาจะถ่ายทอดเชื้อให้ใครได้ไหมต้องบอกว่าโอกาสเป็นศูนย์เลย แล้วถามว่าเขาจะรับเชื้อเอชไอวีจากคนอื่นได้หรือไม่ เป็นปัญหาที่หลายคนสร้างทฤษฎีให้มีความกังวลขึ้นมามากมายว่า เขากินยาของเขาดี ๆ ถ้าไปมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันอาจจะไปรับเชื้อดื้อยาจากคนอื่นมามั๊ย ไปรับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ซ้ำซ้อนจากคนอื่นมามั๊ย ก็เป็นความกังวลในเชิงทฤษฎี แต่จากรายงานคนกินยาต้านไวรัสทั้งโลก 20 กว่าล้านคน ยังไม่เคยมีใครเลยที่เขากินยาต้านของเขาดี ๆ แล้ว เชื้อเขากดลงดีแล้วไปรับเชื้อจากคนอื่นมาได้อีก อันนี้เป็นความกังวลที่ยังไม่มีการพิสูจน์

ทีนี้ประเด็นที่เราพูดถึงคือการกินยาจนตรวจไม่เจอเชื้อ แล้วไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีให้คนอื่น ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่สามารถรับ หรือไม่สามารถส่งต่อเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือการตั้งครรภ์ให้กับคนอื่น เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดถึง U=U เราพูดเฉพาะเอชไอวี ไม่เคยมีใครพูดว่าองค์ความรู้นี้ถ้าทุกคนรู้แล้วต้องเลิกใช้ถุงยางอนามัย U=U ใช่ค่ะเขาไม่มีเชื้อในเลือดแล้ว เขาจะไม่ส่งต่อเชื้อให้กับคนอื่นได้ทางเพศสัมพันธ์ถึงแม้เขาจะไม่ใช้ถุงยางอนามัย แต่ไม่ได้บอกว่าให้เลิกใช้ถุงยางอนามัย ถ้าต้องการป้องกันการตั้งครรภ์ ต้องการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นยังจำเป็นต้องใช้ถุงยางอนามัย

อีกเรื่องที่มีการพูดถึงกันมากคือ "เพร็พ" อยากให้อธิบายว่าคืออะไร?

ถ้าเราพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ปัญหาเอชไอวีที่ยังยุติไม่ได้ เพราะเราพยายามรณรงค์การใช้ถุงยางอนามัยอย่างเต็มที่ และพึ่งพาการใช้ถุงยางอนามัยอย่างเดียว ใครใช้ไม่ได้เราก็จะบังคับให้เขาใช้ให้ได้ ทำให้แวดวงเอชไอวีคิดวิธีคิดค้นป้องกันอย่างอื่นนอกเหนือจากถุงยางอนามัย เพราะเราต้องยอมรับว่า มีคนทั่วโลกและคนในประเทศไทยที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี แต่ใช้ถุงยางอนามัยไม่ได้ทุกครั้งกับทุกคน แล้วมีวิวัฒนาการอะไรในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเราก็รู้ว่ามียาเพร็พ (Preexposure prophylaxis ) แปลว่า เป็นการป้องกันก่อนที่เขาจะไปสัมผัสเชื้อ

วิธีการเป็นอย่างไร คิดง่าย ๆเหมือนยาคุมกำเนิด ถ้าเรารู้ว่ามีโอกาสจะท้องเราก็จะกินยาคุมกำเนิดป้องกันไว้ก่อน ยาเพร็พก็เช่นกันถ้าเรารู้ว่าเรามีโอกาสเสี่ยงที่จะไปสัมผัสเชื้อเอชไอวีเพราะเราไม่สามารถใช้ถุงยางได้ทุกครั้ง ในทุกสถานการณ์เราก็กินยาเพร็พป้องกันเอาไว้ก่อน

วิธีการกินมี 2 แบบ คือ กินวันที่ 1-7 พอครบ 7 วันยาจะออกฤทธิ์เต็มที่ในการป้องกันเอชไอวี อีกวิธีจะใช้เฉพาะผู้ชายที่มีเพศสัมพันธุ์กับผู้ชายด้วยกัน สามารถกิจวันแรก 2 เม็ดทันที จะสามารถออกฤทธิ์ป้องกันเอชไอวีได้เต็มที่ภายในช่วงเวลาไม่เกิน 2 ชม. หลังจากนั้นจะกินวันละเม็ด ๆ ต่อเนื่องไป จนหมดความเสี่ยงไม่มีเพศสัมพันธ์ ไม่มีแผนจะมีเพศสัมพันธุ์กับใคร ก็สามารถกินต่ออีก 2 วัน หลังจากความเสี่ยงครั้งสุดท้ายแล้วก็หยุดได้ ซึ่งเพร็พเป็นการใช้เพี่อป้องกันเอชไอวีอย่างเดียวเท่านั้น เรารณรงค์ให้คนใช้เพร็พแต่ไม่ได้รณรงค์ให้คนเลือกใช้ถุงยางอนามัย ทั้งนี้เพร็พไม่สามารถซื้อได้ร้านขายยาในประเทศไทย การรับมี 2 ช่องทาง คือ ในบาง รพ.ที่ให้บริการตรงนี้โดยแพทย์หรือ พยายาล และในศูนย์สุขภาพชุมชม

"ถุงยางอนามัยเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ป้องกันทั้งการตั้งครรภ์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงเอชไอวี แต่ประเด็นก็คือว่า ในผู้กำหนดนโยบาย หรือ บุคลากรทางการแพทย์ ถ้าเรามองไม่เห็นว่ามีคนที่เขาใช้ถุงยางอนามัยไม่ได้ทุกครั้งกับทุกคน อันนี้จะเป็นจุดบอดที่จะทำให้เราไม่สามารถยุติปัญหาเอดส์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ " พญ.นิตยา กล่าว



เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี news18


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!


Love Attack  เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน

Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้

Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว
ตามข่าวteenee.com จาก LineToday เข้าไปคลิ๊กกดติดตามได้เลย
กระทู้เด็ดน่าแชร์