อีกด้านของ การทำงานที่บ้าน อาจเสี่ยงเสียสุขภาพจิต


อีกด้านของ การทำงานที่บ้าน อาจเสี่ยงเสียสุขภาพจิต

ไม่เพียงแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เท่านั้นที่อาจทำให้เราเครียด เพราะการทำงานที่บ้านตามนโยบายของหลาย ๆ ประเทศ ก็มีแนวโน้มสร้างความกดดันให้กับการทำงานเช่นกัน

ในปี 2560 มูลนิธิยุโรปเพื่อการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่และการทำงาน (Eurofound) ร่วมกับ สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ศึกษาถึงผลกระทบจากการทำงานทางไกล โดยได้ข้อสรุปว่า "พนักงานที่ทำงานทางไกลมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาความเครียดสูงกว่าพนักงานในสำนักงาน"

การสื่อสารผิดพลาด
การสื่อสารในการทำงานเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากสื่อสารไม่ชัดเจนอาจส่งผลเสียต่อการทำงาน โดยเฉพาะการสื่อสารด้วยอีเมล ข้อความ ที่เกิดความคลาดเคลื่อนได้ง่าย เหล่านี้ทำให้ผู้ที่ทำงานที่บ้านมักเกิดความกดดันเพราะหวาดกลัวในความผิดพลาด นำไปสู่ความเครียดในการทำงาน

ชั่วโมงทำงานเพิ่มขึ้น
ผลลัพธ์ที่นำเสนอในงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า ชั่วโมงการทำงานของพนักงานทางไกลมักจะยาวกว่าผู้ที่ทำงานในออฟฟิศ คนทำงานทางไกลโดยทั่วไปมีแนวโน้มที่จะต้องทำงานในตอนเย็นและวันหยุดสุดสัปดาห์มากกว่าคนที่ทำงานในออฟฟิศ เพราะเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถสื่อสารกันได้ง่ายดายขึ้นนั้น ในทางหนึ่ง ก็ทำให้การมอบหมายงานสะดวกขึ้นเช่นกัน จนเกิดเหตุการณ์ที่บางครั้งพนักงานได้รับอีเมล สายเรียกเข้า หรือข้อความ ในเรื่องงาน แม้จะหมดเวลางานแล้วก็ตาม

ความเข้มข้นในการทำงาน ชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้นนี้ มีผลกระทบด้านลบ พนักงานที่ทำงานทางไกลมีเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่สูงขึ้น ทำให้เกิดความเครียด เกิดปัญหานอนไม่หลับ

กระทบชีวิตครอบครัว
สืบเนื่องจากชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้น การทำงานทางไกลทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการทับซ้อนกันระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว/ครอบครัว เนื่องจากชั่วโมงการทำงานยาวนานขึ้น จำนวนงานเพิ่มขึ้น ผนวกกับยังมีความรับผิดชอบอื่น ๆ ในบ้านอีกด้วย จนอาจส่งผลให้ไม่สามารถแบ่งเวลาได้อย่างเหมาะสม เกิดความขัดแย้งระหว่างครอบครัวกับงาน ส่งผลเสียต่อสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิต เป็นเรื่องของ 'ขอบเขตการทำงานที่ไม่ชัดเจน'

ด้านบวกก็มี
อย่างไรก็ตาม การทำงานทางไกลไม่ได้มีแต่ผลกระทบในทางลบเท่านั้น ในทางบวก พนักงานที่ทำงานทางไกลสามารถลดเวลาการเดินทางได้ไม่น้อย ลดต้นทุนในการเดินทาง มีความเป็นอิสระในการทำงาน ไม่ต้องรับแรงกดดันโดยตรงจากคนในองค์กร จัดเวลาชีวิตและปรับสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตได้ดีกว่า (หากไม่ถูกเรียกใช้งานนอกเวลา)

อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้ว่าการทำงานในช่วงระยะเวลาหลายเดือนต่อจากนี้เราจะต้องทำงานทางไกลกันเสียเป็นส่วนใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านมาสัมผัสกับเชื้อไวรัสซึ่งเรามองไม่เห็น และไม่รู้ว่าจะมาถึงตัวเมื่อใด ดังนั้น เราจึงต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ การปรับพฤติกรรมการทำงานที่บ้านหรือ Work From Home ให้เหมือนกับการทำงานอยู่ที่ออฟฟิศหรือสำนักงาน ก็ดูจะทำให้เราสามารถกำหนดขอบเขตการทำงานที่เหมาะสมได้ รวมถึงหาช่วงเวลาว่างทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด จะช่วยให้ผลกระทบทางลบที่เกิดจากการทำงานทางไกลผ่อนเบาลง

ในขณะเดียวกัน ฝั่งนายจ้างก็ต้องเข้าใจตรงจุดนี้เช่นกันว่า การทำงานที่บ้านก็มีขอบเขตไม่ต่างจากการทำงานในสำนักงาน หากนายจ้างใช้งานลูกจ้างเกินกว่าเวลาที่เคยทำในช่วงเวลาปกติ ที่สุดแล้ว นายจ้างนั่นแหละ ที่อาจร้ายกาจและสร้างความเครียดให้กับพนักงานได้มากกว่าโรคโควิด-19 เสียอีก


เครดิตแหล่งข้อมูล : pptvhd36


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
ดูดวง เลขบัตรประชาชน คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์