ประวัติศาสตร์การเงิน เกาหลีชั่งกิโลทองใช้หนี้ IMF แล้วไทยรอดวิกฤตมาอย่างไร
ถ้าพูดถึงซีรีส์เกาหลีที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง Reborn Rich ที่มี ‘ซงจุงกิ' เป็นนักแสดงนำ
บางส่วนของบทความมีการสปอยล์เนื้อหาซีรีส์ดังกล่าว
Reborn Rich เล่าเรื่องของชายคนหนึ่งที่ถูกสั่งฆ่าโดยตระกูลที่ตัวเองทำงานรับใช้มานานกว่า 10 ปี ก่อนจะย้อนอดีตไปเกิดใหม่เป็นหลานชายเจ้าของตระกูลดังกล่าว ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่ม ‘แชโบล' (Chaebol) หรือกลุ่มธุรกิจที่มีอิทธิพลในเกาหลีใต้
หนึ่งในไทม์ไลน์ที่ตัวเอกในเวอร์ชันเกิดใหม่ต้องรับมือ คือ ช่วงปี 1997-1997 (2540-2541) ที่เกิดวิกฤตการเงินเอเชีย ซึ่งทำให้เกาหลีใต้ ณ ขณะนั้น ต้องหันไปกู้เงินกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจ
หลังจากซีรีส์ออนแอร์ไม่นาน มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ซีรีส์เกาหลีหลายเรื่องที่เล่าย้อนกลับไปช่วงวิกฤตการเงิน จะมีภาพที่คนเกาหลีต้องเอาทองคำออกมาชั่งบริจาคให้รัฐบาลนำเงินไปใช้หนี้ และมีคำถามต่อว่า สำหรับประเทศไทย เราผ่านวิกฤตนั้นมาได้อย่างไร
TODAY Bizview ชวนทุกคนย้อนรอยวิกฤตการเงินเอเชียผ่านบริบทของเกาหลีใต้และไทย ทั้ง 2 ประเทศรอดจากหนี้ IMF มาได้อย่างไร และกว่าจะผ่านมาได้ต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง
IMF ใหญ่แค่ไหน ทำไมปล่อยกู้ประเทศได้
IMF หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ เป็นกองทุนที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ประสบปัญหาการเงิน เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1944 (2487) จุดประสงค์หลักตอนนั้นเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าที่เข้าทาง
ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา และมีฐานะเป็นทบวงการชำนัญพิเศษ (Specialized Agencies) ของสหประชาชาติ (United Nations: UN)
สำหรับขนาดของกองทุน จากข้อมูลล่าสุดของ IMF ณ 24 มิ.ย. 2565 ทรัพยากรทั้งหมดในปัจจุบันของ IMF อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 35 ล้านล้านบาท) เทียบให้เห็นภาพ คือ ใหญ่กว่าจีดีพีไทยปีล่าสุด (2564) ที่ 16.2 ล้านล้านบาท
เงินทุนของ IMF มาจากการชำระเงินค่าโควตาของประเทศสมาชิกเป็นหลัก แต่ IMF สามารถกู้ยืมเพิ่มเติมจากประเทศที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งได้จำนวนหนึ่งภายใต้ความตกลงให้กู้แก่ IMF ฉบับใหม่ (New Arrangements to Borrow: NAB)
เกาหลีเอาทองมาชั่งกิโลใช้หนี้ IMF
กลับมาที่เกาหลีใต้ ช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินเอเชีย รัฐบาลเกาหลีจำเป็นต้องกู้ยืมเงินจาก IMF จำนวน 58,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ในปัจจุบัน) เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจระหว่างที่กู้เงินก็มีการออกนโยบายต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วย แต่หนึ่งในนโยบายที่คนเกาหลียุคนั้นจำได้ดี คือ ‘แคมเปญบริจาคทองคำ' (Gold-collecting Campaign) ช่วยรัฐบาลใช้หนี้ IMF ซึ่งก็มีประชาชนกว่า 3.5 ล้านคน บริจาคทองคำกว่า 227 ตันเพื่อช่วยประเทศ
แต่ถ้าถามคนเกาหลีใต้วันนี้ว่า จะยอมบริจาคทองคำเพื่อช่วยประเทศเหมือนในอดีตอีกหรือไม่ พบว่า น้อยกว่า 30% จากผู้ตอบแบบสำรวจ 800 คน บอกว่าจะยอมบริจาคทองของตัวเองวันนี้เพื่อช่วยประเทศจากวิกฤต
ถึงการชั่งทองบริจาคจะเป็นภาพจำของคนเกาหลีเมื่อนึกถึงวิกฤต IMF ก็ตาม แต่การปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ทั้งการปฏิรูปภาคการเงิน การปฏิรูปแชโบล การปฏิรูปภาคแรงงาน ปฏิรูปภาครัฐ เหล่านี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกาหลีใต้ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาได้
ประเทศไทยในวันที่ต้องกู้เงิน IMF
ส่วนประเทศไทย ช่วงที่เกิดวิกฤตการต้องขอกู้เงิน IMF จำนวน 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6 แสนล้านบาท) เพื่อฟื้นฟูเศษฐกิจแบบเร่งด่วน ซึ่งการกู้เงินในครั้งนั้นก็ตามมาด้วยเงื่อนไขหลายข้อที่ไทยต้องปฏิบัติตาม
เงื่อนไขสำคัญ เช่น ไทยต้องเปิดเสรีการค้าและการลงทุน ยกเลิกกฎระเบียบต่างๆ และต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นเอกชน โดยเงื่อนไขเหล่านี้ถูกออกเป็นกฎหมายรวมทั้งสิ้น 40 ฉบับ
ระหว่างทางที่กู้เงิน IMF มาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ประเทศไทยก็เจอกับปัญหาหลายอย่าง เพราะหลายเงื่อนของ IMF เปรียบเสมือน ‘ยาแรง' ที่ถึงแม้จะช่วยแก้ปัญหาได้จริง แต่ก็มีผลกระทบหลายด้านที่ต้องแลก
อาทิ หนี้ต่างประเทศของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเกือบ 40% จาก 24,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 8.6 แสนล้านบาท) ในปี 2540 เป็น 33,800 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.2 ล้านล้านบาท) ในปี 2543
นอกจากนี้ การรัดเข็มขัดทางการคลังและการตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูง ยังเป็นปัจจัยซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังถดถอย และเป็นต้นเหตุให้หลายธุรกิจต้องล้มลง
สู่วันที่ใช้หนี้ทั้งหมดได้ก่อนกำหนด
แม้จะเป็นช่วงที่ยากลำบาก แต่ในที่สุดประเทศไทยก็สามารถชำระคืนหนี้ IMF ได้ก่อนกำหนดในวันที่ 31 ก.ค. 2546 จากกำหนดการเดิม การชำระคืนเงินกู้คงค้างจาก IMF ครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นในปี 2547
‘ฮอสท์ เคอเลอร์' (Horst Köhler) กรรมการผู้จัดการของ IMF ณ ตอนนั้น กล่าวชื่นชมทางการไทยว่า
‘ความสามารถของประเทศไทยในการชำระคืนเงินกองทุนการเงินระหว่างประเทศก่อนกำหนด สะท้อนถึงเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่งและประสิทธิภาพด้านดุลการชำระเงินในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จนี้ได้รับการสนับสนุนจากกรอบนโยบายที่ดี ซึ่งรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยควรได้รับการแสดงความยินดี'
ย้อนกลับไปในเดือน ก.ค. 2546 เป็นช่วงที่ ‘ทักษิณ ชินวัตร' ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นปีที่ 3 เขาเคยให้ข้อมูลว่า ความสำเร็จในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมาจากการปรับนโยบายเศรษฐกิจครั้งใหญ่ผ่านนโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง (Dual Track Policy)
ส่วนนักวิชาการต่างประเทศมองว่า 2 ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัว คือ 1. การปรับโครงสร้างทางการเงินที่ส่งเสริมการลดหนี้เสีย (NPL) และทำให้ธนาคารมีความเข้มแข็ง และ 2. การพึ่งพาบริษัทต่างชาติ และการขับเคลื่อนการส่งออก
ครั้งหนึ่งไทยก็เคยรับบริจาคทองใช้หนี้ในวิกฤตปี 2540 ไทยก็มีการเปิดรับบริจาคทองคำช่วยชาติเหมือนเกาหลีใต้ แต่เป็นการรับบริจาคผ่านโครงการผ้าป่าช่วยชาติของ ‘หลวงตามหาบัว' (พระธรรมวิสุทธิมงคล) แตกต่างกับเกาหลีใต้ที่เป็นโครงการรับบริจาคโดยรัฐบาล
ถึงปัจจุบันโครงการผ้าป่าช่วยชาติจะปิดตัวลงอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ทุกวันนี้มูลนิธิหลวงตามหาบัวฯ ยังมีการส่งมอบทองคำและทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อสมทบเป็นทุนสำรองของประเทศตามเจตนารมณ์ของหลวงตาฯ เป็นระยะ--
ข้อมูลยอดรับบริจาคล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ วันที่ 13 มิ.ย. 2565 มีเงินที่ได้รับการบริจาคทั้งสิ้น 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.6 ล้านล้านบาท) ทองคำแท่งจำนวน 1,128 แท่ง น้ำหนักรวมกว่า 13,100 กิโลกรัมโดยแบงก์ชาติระบุว่า ทองคำและเงินที่ประชาชนบริจาค มีการตรวจนับและเก็บรักษาไว้ในสถานที่มั่นคงปลอดภัย และมีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเข้าร่วมในการตรวจสอบเป็นประจำด้วย
เครดิตแหล่งข้อมูล : workpointtoday