เคยพบพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ในห้องเหงื่อท่วมตัว อาตมาก็ไปถามว่าไม่ร้อนหรือ ท่านก็บอกว่ามันเรื่องธรรมดา ท่านตอบว่าอย่างนั้น แล้วท่านนั่งทำงานไปตามปกติ ไม่รู้สึกว่ากระวนกระวาย จิตใจมันเป็นปกติ เหงื่อมันออกมาเป็นเรื่องของร่างกาย แต่ว่าใจนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นั่งทำงานได้ปกติตลอดเวลา อันนี้แสดงว่าท่านผู้นั้นรู้จักหมุนจิตใจต้อนรับสถานการณ์นั้น แล้วก็ไม่เป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น
คนเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม เราควรจะอยู่ให้เบาใจสบายใจ อย่าอยู่ให้มีความทุกข์ความหนักใจ เพราะเมื่อมีความหนักใจขึ้นเมื่อใดแล้ว เราก็ไม่สบายทั้งกายทั้งใจ ถ้าเราไม่มีความหนักใจ แม้ว่าร่างกายเราจะหนักเพราะการเปลี่ยนแปลง แต่ตัวเราก็ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนเพราะเรื่องอย่างนั้น อันนี้แหละเป็นเรื่องสำคัญ
คราวหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกพระเทวทัตทุ่มหินลงมา แต่ว่าหินนั้นไม่ถูกพระองค์ เพราะไปชนต้นไม้ สะเก็ดนิดหนึ่งมากระทบถูกพระชงฆ์ คือหน้าแข้งของพระพุทธเจ้า เลือดไหลซิบๆออกมา หมอโกมารภัจจ์ก็ทำยาไปปะแผลให้ยาที่ปะนั้นเป็นยาร้อนก็คล้ายๆกับทิงเจอร์ที่เราใช้กัน แต่ว่าใช้ใบไม้ประเภทหนึ่งเอามาพอกไว้แล้วหมอก็กลับบ้าน หมอก็นอนไม่หลับตลอดคืนมีความเป็นห่วง เพราะนึกในใจว่า ยาที่พอกนั้นเป็นยาที่ร้อน พระผู้มีพระภาคคงจะไม่ได้บรรทม เพราะความร้อนของยาที่ผิวหนัง ตื่นแต่เช้ามืดมาเฝ้าดูพระผู้มีพระภาคเจ้า
อันนี้เป็นเรื่องพิเศษที่จะเกิดมีเฉพาะบุคคลที่มีจิตหลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง หรือพ้นแล้วจากการยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวเรื่องตน ที่เราเรียกในภาษาธรรมะว่า "อัตตวาทุปาทาน" คือ การยึดมั่นถือมั่นในตัวฉันในของของฉัน ถ้ายังมีความยึดมั่นอยู่ตราบใด ความทุกข์ก็ยังมีอยู่ ความร้อนก็ยังมีอยู่ อะไรๆที่มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันก็มีอยู่กับผู้นั้น แต่ว่าถ้าถอนความยึดมั่นถือมั่นได้เมื่อใด สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่มี มันมีของมันอยู่ตามธรรมชาติไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ว่าจิตไม่ได้เป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น เช่น ว่าความร้อนทางกายก็มีอยู่ เจ็บปวดมันก็มีอยู่ แต่ว่าจิตไม่ปวดในเรื่องนั้น ไม่ได้เจ็บไปกับเรื่องนั้น ดูอาการมันเฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นในใจ อันนี้เป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ
แต่ว่าจิตของพระอริยเจ้านั้น ท่านไม่มีเหมือนเรา จิตท่านแตกต่างจากเรา เพราะท่านปฏิเสธหมดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นของท่าน อะไรๆมันเกิดขึ้นท่านก็เฉยๆคล้ายๆกับเรื่องอย่างนี้ เหมือนกับว่ามีอะไรของใครเขาหาย เราไม่ได้เป็นทุกข์กับเขา เช่นว่า คนหนึ่งเขามีของหายไป เรารู้เราก็เฉยๆ ที่เฉยๆ ก็เพราะว่าของนั้นมันมิใช่ของเรา บ้านคนอื่นถูกไฟไหม้อยู่ห่างไกลจากบ้านเรา
อันนี้สังเกตได้ง่าย ขอให้เราสังเกตคือการศึกษาธรรมะน่ะ เรารู้หลักทางหนังสือแล้วต่อไปก็ต้องเอามาค้นคว้าจากพฤติการณ์ของเราเอง จากความคิด จากการกระทำของเรา แล้วคอยสังเกตว่า เวลาที่เกิดทุกข์นี่มันทุกข์เพราะอะไร เวลาทุกข์ที่หายไป มันหายไปเพราะอะไร เพื่อจะค้นหาสมุฏฐานของความทุกข์ที่เกิดขึ้นภาย ในจิตใจของเรา ถ้าหากเราสังเกตจะพบว่า สิ่งที่ทำให้เราเกิดความทุกข์นั้น ก็คือการยึดมั่นถือนั่นเอง เราจึงเรียกว่า “อุปาทาน” ตามภาษาธรรมะ พอมีอุปาทานขึ้นมาเมื่อใด ใจมันก้ไปติดอยู่กับสิ่งนั้น ไปยึดอยู่กับสิ่งนั้น พอสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนใจไม่สมใจเราก็มีความทุกข์ขึ้นมาทันที
อันนี้เป็นเครื่องชี้อยู่ในตัวแล้วว่า เราเป็นทุกข์เพราะ มีความยึดมั่นถือมั่น ถ้าจะไม่ให้เกิดทุกข์ก็ต้องผ่อนคลาย ความยึดมั่นถือมั่นออกไปจากใจของเราเสียบ้าง