อรหัตโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลกที่ 4)

ขอขอบคุณ Trader Hunter พบธรรม

พระอรหันต์ = ท่านผู้สมควรแก่การบูชา อรหัตโลกุตรภูมิ ได้แก่ ภูมิที่พ้นจากโลก คือ พระอรหัตคุณ ท่านผู้ที่บรรลุถึงภูมินี้ย่อมเป็นผู้สมควรแก่การบูชาของเหล่าเทพยดาแลมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเป็นมหาขีณาสพเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพระบวรพุทธศาสนา. ท่านผู้จะบรรลุโลกุตรภูมิชั้นสูงสุดนี้ได้ ต้องบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานผ่านโลกุตรภูมิขั้นต่ำมาตามลำดับแล้วมีวิริยะอุตสาหะเจริญวิปัสสนาให้ภิญโญภาพยิ่งขึ้น เมื่ออินทรีย์ถึงความเสมอกันดีแล้ว และบุญวาสนาบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว สภาวญาณก็จะเกิดขึ้นตั้งแต่อุทยัพพยญาณ (ญาณที่ 4) เป็นต้นไป จนถึงสังขารุเปกขาญาณ (ญาณที่ 11) แต่ว่าญาณเหล่านี้ จะมีสภาวะประณีตเป็นที่สุด ต่อจากนั้นอนุโลมญาณ (ญาณที่ 12) ก็จะเกิดขึ้น ติดตามมาด้วยโวทานะ (ญาณที่ 13) แล้วพระอรหัตมรรคญาณ หรือเรียกอย่างหนึ่งว่า พระจตุตถมรรค ก็จักอุบัติขึ้น เมื่อพระอรหัตมรรคญาณเกิดขึ้นแล้ว ก็จะเป็นเสมือนดาบอันคมกล้า ฟาดฟันประหัตประหารบรรดาสรรพกิเลสที่หมักดองในขันธสันดานมานานหนักหนาให้หมดไปโดยสิ้นเชิง โซ่เหล็กคือสังโยชน์ ที่เหลืออีก 5 ประการคือ รูปราคสังโยชน์ , อรูปราคสังโยชน์ , มานสังโยชน์ , อุทธัจจสังโยชน์ , อวิชชาสังโยชน์ ก็เป็นอันขาดสะบั้นหมดลง ด้วยอำนาจของพระอรหัตมรรคที่บังเกิดขึ้นในขณะนี้ ต่อจากนั้นพระอรหัตผลญาณก็จะบังเกิดติดตามมาให้ท่านได้เสวยอารมณ์พระนิพพาน เป็นขันธวิมุตติหลุดพ้นจากขันธ์ห้า คือ รูปนาม เป็นพระมหาขีณาสพถึงความบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง กิเลสธุลีแม้แต่เท่ายองใยก็ไม่มีเหลือติดอยู่ในขันธสันดาน พระอรหันต์ทั่วๆ ไป ที่นอกจากพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระอรหันตปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั่วๆ ไปนี้ยังจำแนกได้เป็น ๒ ประเภท คือ ปัญญาวิมุตติ และ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ หมายถึงพระอรหันต์ผู้ไม่ได้ฌานเลย กล่าวคือไม่ได้เจริญสมถภาวนาไม่ได้ทำฌาน เป็นแต่เจริญ วิปัสสนาภาวนาแต่อย่างเดียวจนบรรลุอรหัตตมัคคอรหัตตผล พระอรหันต์ผู้ที่ไม่ได้ฌานนี้เรียกว่า สุกขวิปัสสก พระอรหันต์ ส่วน เจโตวิมุตติ หมายถึงพระอรหันต์ผู้ที่ได้ฌานด้วย ( ผู้ที่ได้ฌานเรียกว่า ฌานลาภีบุคคล ) การได้ฌานก็สามารถได้มาด้วย ๒ ประการ คือ ก. เป็นผู้เจริญสมถภาวนาจนได้ฌาน เช่นนี้เรียกว่า ปฏิปทาสิทธิฌาน ได้ฌานด้วยการปฏิบัติ แล้วก็มาเจริญวิปัสสนา ภาวนาตามลำดับ จนบรรลุพระอรหันต์ ข. เป็นผู้ที่แม้จะไม่ได้เจริญสมถภาวนามาก่อนก็ตาม แต่ว่าเมื่อได้เจริญวิปัสสนาภาวนามาตามลำดับจนบรรลุ อรหัตตมัคค อรหัตตผล ด้วยผลแห่งบุญญาธิการแต่ปางก่อน เมื่อบรรลุอรหัตตผล ก็ถึงพร้อมซึ่งฌานด้วยเช่นนี้เรียกว่า มัคคสิทธิฌาน ได้ฌานด้วยอำนาจแห่งมัคค จนถึงได้อภิญญาด้วยก็มี เช่น พระจุฬปัณถก เมือสำเร็จเป็น พระอรหันต์ก็มีอภิญญา ด้วยคือมีอิทธิฤทธิถึงสำแดงปาฏิหารย์ เป็นพระภิกษุหลายรูปจนเต็มพระเชตวัน รวมความว่า พระอรหันต์ประเภทปัญญาวิมุตติ ไมได้ฌานด้วยเรียกว่า สุกขวิปัสสกพระอรหันต์ พระอรหันต์ประเภท เจโตวิมุตตินั้นเป็นผู้ได้ฌานด้วย เรียกว่าพระอรหันตฌานลาภีบุคคล พระอรหันต์ผู้เป็นฌานลาภีบุคคลนั้น ได้ฌานจนถึงได้อภิญญาด้วยก็มี ได้ฌานก็จริงแต่ไม่ถึงได้อภิญญาด้วยก็มี ฌานลาภีอรหัตตบุคคลนั้นที่ได้ถึงอภิญญาด้วยนั้น บางองค์ก็ได้เพียง อภิญญา ๓ บางองค์ก็ได้ถึง อภิญญา ๖ อภิญญา ๓หรือบางทีก็เรียกว่า วิชา ๓ นั้นได้แก่ ( ๑ ) ปุพเพนิวาสนุสติญาณ ระลึกชาติได้ ( ๒ ) ทิพพจักขุญาณ หรือ จุตูปปาตญาณ ตาทิพย์ รู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย ( ๓ ) อาสวักขยญาณ รู้วิชาที่ทำให้สิ้นกิเลสและอาสว ในพระบวรพุทธศาสนานี้เป็นพระศาสนาที่เต็มไปด้วยหลัก 3 ประการคือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันยอดเยี่ยมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง เพราะการบรรลุมรรคผลอันสงสุดเป็นโลกุตระนี้ จะต้องบรรลุด้วยหลัก 3 ประการอย่างยอดเยี่ยม คือ 1. จะบรรลุพระโสตาปัตติมรรคญาณและพระสกิทาคามิมรรคญาณได้ด้วย อธิศีล คือ ศีลชั้นยอดเยี่ยมสมบูรณ์ที่สุด 2. จะบรรลุพระอนาคามิมรรคญาณได้ด้วย อธิจิต คือ มีจิตเป็นสมาธิชั้นยอดเยี่ยมสมบูรณ์ที่สุด 3. จะบรรลุพระอรหัตมรรคญาณได้ด้วย อธิปัญญา คือ ปัญญาชั้นยอดเยี่ยมสมบูรณ์ที่สุด

อรหัตโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลกที่ 4)

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์