ไม่ยึดความชั่วไว้ในใจ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

ไม่ยึดความชั่วไว้ในใจ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

...

เพราะโลกอันนี้ก็มีดีกับชั่วนี่แหละเป็นคู่กันอยู่
เมื่อใจผู้ใดมันขาดสติสัมปชัญญะประคับประคองแล้ว
เช่นนี้แล้วมีแต่มันไหลไปตามยถากรรมเลยบัดนี้
สุดแล้วแต่อารมณ์ใดมายั่วยวนก็ไปตามอารมณ์นั้น 
เออ มันเป็นอย่างนี้ให้พึงพากันสังเกตดูให้ดี 

และเมื่อทีนี้ผู้ใดได้มาประพฤติปฏิบัติธรรมเข้าไป 
มาฝึกสติสัมปชัญญะให้แก่กล้าเข้าไป 
ไม่ลืมกายไม่ลืมจิตนี่ มีความระลึกได้ในจิตนี้อยู่เสมอ
รู้ว่าจิตของตนเป็นอยู่อย่างไร จิตไม่ดีก็รู้ว่าไม่ดี 
จิตตั้งมั่นอยู่ในบุญในคุณก็รู้ว่าจิตตั้งมั่นอย่างนี้นะ 
เมื่อจิตไม่ดี รู้ว่าจิตขณะนี้ของตนมันไม่ดีอย่างนี้
ก็พยายามปรับปรุงให้มันดีขึ้น 
มันไม่ดีเพราะมันยึดถือเอาเรื่องชั่วอะไรไว้
ก็ต้องเพ่งพิจารณาดู เมื่อมันรู้ว่า จิตไม่ดี
เพราะมันยึดถือเอาเรื่องชั่วเหล่านี้ไว้จึงไม่ดีอย่างนี้ 
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็กำหนดละเรื่องชั่วอันนั้น 
ให้มันระงับดับไปจากจิตใจ ความดีมันก็เกิดขึ้นในใจ
ใจก็เอิบอิ่มอยู่ด้วยบุญด้วยกุศลที่ตนกระทำบำเพ็ญมา 

อุปมาเหมือนคนปลูกพืชลงในดิน
ถ้าปล่อยให้หญ้าท่วมอย่างนี้ พืชนั้นก็ไม่งอกงามเลย 
ซูบซีดไป แต่ถ้าไปดายหญ้าไปถอนวัชพืชนั้น
ออกไปจากต้นไม้นั้นแล้ว แล้วก็ใส่ปุ๋ยรดน้ำเข้าไปอย่างนี้ 
ต้นไม้นั้นมันก็งอกงามเจริญขึ้นได้เต็มที่เลย 
จิตใจคนเราก็เป็นเช่นนั้นแหละ เมื่อรู้ว่าจิตนี้ 
มันมีกิเลสครอบงำจิตใจอยู่ มีกิเลสรบกวนให้เป็นทุกข์
เดือดร้อนอยู่อย่างนี้ มีกิเลสเป็นศัตรูของจิตนี้อยู่เช่นนี้
เราก็พยายามกำหนดละมันเรื่อยๆไป
เหมือนคนพยายามถอนต้นหญ้าต้นไม้
ออกจากต้นไม้ที่มีผลนั่นเองแหละ 

อันนี้เมื่อเราเพียรพยายามละมันอยู่อย่างนั้น
เบื่อหน่ายต่ออารมณ์อันชั่วร้ายต่างๆเหล่านั้น 
ไม่ได้ยินดีกับมันเลย เมื่อมันเบื่อหน่าย
มันก็เพียรละมันแหละคนเราน่ะ ถ้ามันไม่เบื่อหน่าย
ก็ไม่เพียรละแล้วก็ปล่อยให้มันเผาจิตให้เร่าร้อนอยู่นั่น
จนว่ามันจางหายไปเองมัน มันจางหายไปเองมันอย่างนั้น
ไม่ใช่มันดับไปนะ สงบลงไปซ่อนตัวอยู่ในจิตนั่นแหละ 
เมื่อมันแผลงฤทธิ์เต็มที่แล้วกิเลสนี้น่ะ
มันก็หลบซ่อนตัวอยู่ในจิตนั่นแหละ 

ทีนี้พอจิตมีสติสัมปชัญญะระลึกถึงบุญกุศลได้บัดนี้
จิตก็ยินดีพอใจในบุญในกุศลนั้น 
กิเลสมันก็ไม่มีอำนาจที่จะครอบงำจิตได้ในเวลานั้นน่ะ 
ให้สังเกตดู ทีนี้บุคคลใดเมื่อสติอ่อนแออย่างนี้แล้ว 
เวลาระลึกถึงบุญกุศลได้ก็ระลึกไป 
มันไปๆแล้วก็สติก็เหลวไหลระลึกไปทางอื่นเสีย 
อย่างนี้แล้วก็ลืมบุญลืมกุศลเข้าไป 
จิตใจไปหลงยินดียินร้ายกับเรื่องภายนอกไปแล้ว
บัดนี้กิเลสที่มันหมักดองอยู่ในจิตใจมันได้ช่อง 
มันก็โผล่ขึ้นครอบงำจิตใจเพราะมันได้เชื้อแล้วนี่ 
มันได้เชื้อจากภายนอกแล้วทีนี้ก็ลุกโพลงขึ้น

เหมือนอย่างไฟมันหมกเถ้าอยู่นั่นแหละ
เมื่อมันได้หญ้าแห้งใบไม้แห้งอะไรเข้าไปแล้ว
มันก็ลุกโพลงขึ้นอย่างนั้นแหละ 
นั่นแหละกิเลสอันหมักดองอยู่ในจิตใจคนเรานี่น่ะ 
ถ้าหากเราภาวนาเราสำรวมจิตของเราเสมอไปแล้วเช่นนี้ 
ไม่สะสมอารมณ์อันชั่วร้ายภายนอก 
ไม่ปล่อยใจของตนให้ยินดียินร้าย
ไปตามอารมณ์ของโลกสงสารอันนี้อย่างนี้นะ 
กิเลสของเก่านั้นมันไม่ได้เชื้อแล้ว 
มันก็มีแต่มันตายไป ตายไปน่ะ 
เหมือนอย่างต้นไม้ที่ไม่รดน้ำไม่ใส่ปุ๋ยมัน 
มันแห้งมันแล้ง ต้นไม้ที่มันปลูกขึ้นมาใหม่นะ 
มันไม่ได้อาหารช่วยมันก็เฉาไป เฉาไป มันก็ตายลง 

อย่างนี้แหละกิเลสในใจคนเรานี่ก็เหมือนกันนะ 
ถ้าหากว่า ใจมันไม่ยึดถือเอาอารมณ์ภายนอก
เข้ามาทำความเสียใจดีใจเศร้าโศกแล้ว
กิเลสที่หมักดองอยู่ในจิตใจมาแต่ก่อนนั้น
ก็ไม่มีกำลังอะไรจะมาครอบงำจิตได้ก็ฉันนั้นแหละ

...

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ 
"ผู้อิ่มในธรรมย่อมไม่หวั่นไหว"

ไม่ยึดความชั่วไว้ในใจ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์