บิดาชื่อ แพ จรรยารักษ์
มารดาชื่อ เจิม สุขประเสริญ
เกิดเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๗๑ เวลา ๐๗.๑๐ น.(ปีมะโรง) ณ ตำบลม่วงหมู่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี เป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวน ๑๐ คน
ท่าน เป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวชาวนาสิงห์บุรี ยายขอไปอยู่เป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กๆ เมื่อตาลาบวช ท่านเกเรมาก มีปัญหากับโรงเรียน ถูกไล่ออกหลายครั้ง ช่วงมัธยม ไม่มีโรงเรียนที่สิงห์บุรีแห่งไหนยอมรับให้เรียนอีก ยายต้องส่งมาให้อยู่กับปู่ที่เป็นคุณหลวงในกรุงเทพฯ
พ่อของท่านเป็น ลูกคุณหลวงที่ไปหลงรักลูกสาวชาวนา จึงถูกย่าตัด แต่เมื่อยายฝากให้มาอยู่ด้วยเพื่อต่อโรงเรียนมัธยม ปู่ย่าก็ไม่ปฏิเสธ และด้วยความเป็นคนมีน้ำใจ ตามที่ยายอบรมสั่งสอน เฆี่ยนตีเมื่อท่านเกเร ในที่สุดปู่ย่าป้า และลูกพี่ลูกน้องต่างรักท่าน
ท่านได้ไป เป็นศิษย์ดนตรีไทยของคุณหลวงประดิษฐ์ไพเราะ คุณหลวงประดิษฐ์ไพเราะอุตส่าห์ปรารถนาดี นำท่านไปฝากฝังต่อจอมพลป. เมื่อคุณหลวงสนับสนุนให้่ท่านสอบเข้าเรียน ร.ร.นายร้อยตำรวจ เจอรุ่นพี่วางอำนาจบาตรใหญ่ ท่านทนไม่ได้ ชกรุ่นพี่ แล้วลาออกจาก ร.ร.นายร้อยตำรวจ กลับบ้านไปตั้งวงดนตรีไทยรับงาน ได้รับความสำเร็จ คนหาเยอะ
อายุครบบวช บวชให้ยาย ทั้งที่ท่านเกลียดพระสงฆ์มาแต่ไหนแต่ไร เพราะมักเจอพระทุศีล บวชเข้ามาอาศัยผ้าเหลืองหากิน เมื่อบวชครบพรรษา ก็เตรียมตัวสึก แต่พอถึงวันกำหนดสึก อารมณ์เศร้าหมองไม่ผ่องใส ยายบอกว่าถ้าไม่ปลดโปร่งก็ไม่ควรสึก นิมนต์พระที่วัดอินทร์บุรีเตรีนมสึก แล้วเลื่อนถึง 3 ครั้ง จนสมภารบอกว่าไม่สึกให้แล้ว อยากสึกให้ไปสึกวัดอื่น ท่านออกเดินทาง ตั้งใจไปนมัสการพระพุทธชินราช แล้วจะนิมนต์พระที่นั่นสึกให้ ระหว่างทางบนรถไฟ พบโยมกำลังมุ่งไปนมัสการหลวงพ่อเดิมอายุ 103 ปี ตามโยมไปนมัสการหลวงพ่อด้วย หลวงพ่อมอบวิชาคาถาต่างๆให้จนหมด รวมทั้งคาถาที่ไม่ได้สอนศิษย์ซึ่งเลื่อนสมณศักดิ์ก้าวหน้าเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ท่านมอบวิชาคชศาสตร์ที่ท่านรับถ่ายทอดมาเป็นลำดับที่ 5 ให้หลวงพ่อจรัญแต่เพียงผู้เดียว แม้ต่อไปหลวงพ่อจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฝึกช้างศึก แต่จะเป็นประโยชน์กับหลวงพ่อในเรื่องอื่นตลอดเวลาที่พำนักที่วัดหลวงพ่อเดิม ท่านรบเร้าให้หลวงพ่อเดิมสึกให้ตลอด หลวงพ่อเดิมก็ผลัดว่าไว้พรุ่งนี้ พอรุ่งขึ้น หลวงพ่อก็บ่ายเบี่ยงว่าไม่มีฤกษ์ แล้วก็สอนคาถาใหม่ๆไปเรื่อยๆ ในที่สุดหลวงพ่อจรัญก็หมดกำลังใจจะสึก ทำใจว่าคงต้องครองสมณเพศไปตลอดแล้ว (หลวงพ่อท่านอื่นๆที่พอ ล้วนบอกว่าชีวิตท่านไม่มีวันได้สึก) หลังจากเพิ่มพูนวิชาความรู้ได้พอสมควรแล้ว ทางคณะสงฆ์ก็แต่งตั้งให้หลวงพ่อจรัญไปเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวันที่เป็นวัด โบราณ แต่ทรุดโทรมมีเพียงหลวงตาบวชอาศัยผ้าเหลืองอยู่ไปวันๆประจำพรรษาเพียง 2 รูป เป็นที่มาที่ท่านได้สอนกรรมฐานให้ปัญญาแก่สาธุชนชาวไทย ณ วัด อัมพวัน มาจนถึง ณ ปัจจุบัน
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ด้วยอาการปอดอักเสบ ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. 58 ที่ผ่านมา ด้วยอาการหอบเหนื่อยจากโรคปอดอักเสบ โดยคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะและออกซิเจนนั้น ต่อมาโรครุนแรงขึ้น แพทย์ได้ถวายการช่วยหายใจและถวายการรักษาประคับประคองระบบการหายใจและหลอดเลือดด้วยเครื่องพยุงการทำงานของหัวใจและปอด ถวายการรักษาทดแทนไต ระยะหลังอาการทรุดลงเริ่มมีเลือดออกผิดปกติจนต้องมีการถวายเลือดและเกล็ดเลือด จนในที่สุดการทำงานของอวัยวะต่างๆ ล้มเหลว ไม่สามารถถวายการรักษาประคับประคองได้ต่อไป"