เปิดผลทดสอบ NDV-HXP-S วัคซีนเชื้อตายฝีมือคนไทย ดีกว่าซิโนแวค-ซิโนฟาร์ม
คืบหน้า วัคซีน NDV-HXP-S ความร่วมมือ "ม.มหิดล" และ "องค์การเภสัชกรรม" วิจัยทางในมนุษย์ เฟส 1 อาสาสมัคร 210 คน ตรวจแอนติบอดีต่อสไปรค์ได้ 100% ใน 43 วันหลังได้รับครบโดส รอลุ้นผลเฟส 2
ศ.พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์เขตร้อนและรักษาการศูนย์วัคซีน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวปาฐกถาเนื่องในวันมหิดล ปี 2564 ในหัวข้อ การพัฒนาวัคซีนระหว่างคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล องค์การเภสัชกรรม และ องค์กร PATH ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ sirirajpr โดยระบุว่า โครงการวิจัยพัฒนา วัคซีน NDV-HXP-S เป็นความร่วมมือระหว่างคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล องค์การเภสัชกรรม และองค์การ PATH สนับสนุนทุนวิจัยโดย สถาบันวัคซีนแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
- วัคซีน NDV-HXP-S เป็นการใช้ไวรัสนิวคาสเซิล (NDV) สายพันธุ์ LaSota ซึ่งไม่ก่อโรคในคน ตัดแต่งเพิ่มรหัสพันธุกรรมของโปรตีนส่วนหนาม-ส่วน S ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ทั้งนี้ การออกแบบไวรัสตั้งต้นโดย Icahn School of Medicine at Mount Sinai
- ใช้เทคโนโลยี Hexa-pro จาก U of Texas
- ได้เป็นวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019- NDV-HXP-S
- ผลิตโดย องค์การเภสัชกรรม ( อภ. ) โดยความร่วมมือกับหน่วยงาน Program for Appropriate Technology in Health (PATH) ประเทศสหรัฐอเมริกา
การวิจัยด้านคลินิก
การวิจัยคลินิกเริ่มโครงการ 19 มี.ค.64 และ รับอาสา 20 มี.ค. 64 จำนวน 210 คน และมีการทำการทดสอบระยะที่ 2 กับอาสาสมัครจำนวน 250 คน 16 ส.ค. 64 โดยวัตถุประสงค์ของการศึกษารวมระยะที่ 1 และ 2 เพื่อประเมินความปลอดภัย ความทนทานของวัคซีน NDV-HXP-S ในขนาดต่างๆ กัน โดยมีหรือไม่มีสารเสริมฤทธิ์ CpG 1018 รวมถึง ศึกษาความสามารถในการกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน 14 วัน หลังจากได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม โดยมีจุดมุ่งหมายในการคัดเลือกวัคซีน 1 สูตรเพื่อเข้าสู่การวิจัยระยะที่ 3 อย่างรวดเร็ว
"ผลการทดสอบวัคซีน NDV-HXP-S เฟส 1/2 ในอาสาสมัครคนไทย โดยองค์การเภสัชกรรม ร่วมกับ ม.มหิดล ออกมาเผยแพร่แล้ววันนี้
วัคซีนชนิดนี้เป็นไวรัสนิวคาสเซิลที่เพิ่มปริมาณได้ดีในไข่ไก่ฟัก และ ไวรัสชนิดนี้ผ่านการปรับพันธุกรรมให้มีการแสดงออกของโปรตีนสไปค์ของไวรัสโรคโควิด-19 บนผิวอนุภาคของไวรัส
ดังนั้นไวรัสที่เพิ่มปริมาณได้ในไข่ไก่จะมีโปรตีนสไปค์ติดออกมาด้วย ไวรัสจะถูกทำให้เสียสภาพไม่สามารถติดเข้าสู่เซลล์ได้อีก แต่โปรตีนสไปค์จะถูกสกัดออกมาเป็นวัคซีน
ดังนั้น จึงเชื่อว่าโปรตีนสไปค์ของวัคซีนรูปแบบนี้จะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า โปรตีนสไปค์ที่สกัดมาจากไวรัสจากธรรมชาติอย่าง SinoVac หรือ Sinopharm
การทดสอบในอาสาสมัครคนไทยใช้ปริมาณของโปรตีนสไปค์ 3 ขนาดคือ 1, 3 และ 10 ไมโครกรัม โดยมีการให้ สารกระตุ้นภูมิชนิด CpG1018
จากข้อมูลผลข้างเคียงของแต่ละปริมาณวัคซีนที่ใช้ ทีมวิจัยสรุปว่า การทดสอบเฟส 2 จะใช้ปริมาณแอนติเจนที่ 3 ไมโครกรัม แบบมีและไม่มี CpG1018 นับเป็นผลการทดสอบวัคซีนโควิด-19เฟสหนึ่งในมนุษย์ ที่ทีมวิจัยคนไทยภาคภูมิใจครับ"