หากจะย้อนกลับไปก่อนปี 2499 ชื่อของ "จำเรียง ปางมณี" แทบไม่มีใครรู้จัก แต่หากจะเอ่ยถึง "เสือเรียง 5 นัด" แห่งบางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี น้อยคนจะไม่รู้จักเขาในฐานะที่เป็นจอมโจรขมังเวท ผู้ก่อคดีอย่างอุกอาจท้าทายกฎหมายบ้านเมือง โหดเหี้ยมไร้ความปรานีต่อเหยื่อ และรอดพ้นเงื้อมมือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไปได้ราวกับปาฏิหาริย์ นี่เองจึงกลายเป็นที่มาของฉายาเสือเรียง 5 นัด จอมโจรขมังเวทแห่งเมืองนนท์
ตำนานโจรไทยจอมขมังเวทย์ หรือ ขุนโขร 5 นัด
ความรักของจำเรียงกับสาวบางเชือกมีอุปสรรคนานัปการ ด้วยญาติผู้ใหญ่ไม่ชอบชายหนุ่มที่มีฐานะต่ำต้อยกว่า ถึงกับกีดกันไม่ให้คบหา บางครั้งก็ดูถูกเหยียดหยามเอาอย่างเจ็บแสบ จำเรียงเองในวัยหนุ่มแน่นดูเหมือนความอดทนอดกลั้นดูจะมีอยู่อย่างจำกัด ไม่นานเขาก็ตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น ด้วยการใช้ปืนพกยิงยายของหญิงสาวผู้เป็นที่รักจนเสียชีวิต
จำเรียง ถูกจับศาลตัดสินจำคุก 20 ปี แต่หลังจากชดใช้กรรมในแดนกำแพงกรรมได้เพียง 7 ปี ก็พ้นโทษออกมา จำเรียงกลับไปอยู่กับพ่อและแม่ที่บางใหญ่ ทำมาหาเลี้ยงชีพจนมีเมีย 2 คน กับลูกอีก 8 คน ด้วยการต้มเหล้าเถื่อนขาย ธุรกิจผิดกฎหมายนี้แลกมาด้วยการจ่ายอากรบ่อนเบี้ยให้กับเจ้าหน้าที่นอกแถว ที่บ้างก็มาขอเหล้าบ้างเงินบ้างแล้วแต่ความต้องการ ณ ขณะนั้น
แม้บางครั้งบางคราเกิดข้อหาหมั่นไส้ก็จับเอาดื้อๆ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนความชินชากลายเป็นสุดจนทานทน จำเรียงหันมาจับปืนอีกครั้ง เพียงแต่เหยื่อคมกระสุนของเขาครั้งนี้เป็นถึง "เจ้าหน้าที่บ้านเมือง" !!!
นับตั้งแต่การตายของเจ้าหน้าที่คนนั้น วิถีชีวิตของจำเรียงก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาระเห็จออกจากบ้านอย่างคนมีชนักติดหลัง และรวบรวมสมัครพรรคพวกออกปล้นจี้ชาวบ้านนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พร้อมกับคำนำหน้าชื่อใหม่ จาก "จำเรียง" เป็น "เสือเรียง" แทน
กลางดึกวันที่ 10 ธันวาคม 2499 ราตรีเงียบสงัดผู้คนหลับไหลอยู่ในนิทรารมย์ มีเพียงเสือเรียงกับสมุนที่ตื่นขึ้นมาวางแผนปล้นบ้านของ "เซียมเง็ก แซ่โซว" ต.บางแค อ.ภาษีเจริญ จ.ธนบุรี คหบดีแห่งคลองภาษีเจริญ เสียงปืนที่ดังกึกก้องกัมปนาท 5 นัดติดต่อกัน เป็นสัญญาณให้สมุนโจรถือฤกษ์บุกปล้น ขณะเดียวกันก็ปลุกให้เหยื่อตื่นจากภวังค์
แต่ไม่ว่าเซียมเง็ก แซ่โซว และประสาร กลิ่นบัว จะพร่ำวอนร้องขอชีวิตสักเท่าใด เสือเรียงและสมุนก็หาได้ปรานีไม่ เขากระหน่ำยิงทั้งสองเสียชีวิตแล้วกวาดเอาทรัพย์สินไปกว่าหมื่นบาท ก่อนถอยหนีเขาไม่ลืมที่จะยิงปืนขึ้นฟ้าเหมือนเป็นการบอกลาอีก 5 นัดปิดท้าย
พฤติกรรมโหดเหี้ยมไร้ความปรานีแม้เหยื่อจะยอมจำนนเช่นนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างตีพิมพ์ข่าวสร้างความหวาดผวาไปทั่วทุกหัวระแหงของ จ.ธนบุรี ร้อนถึง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เรียกตำรวจ 4 สน. ได้แก่ สน.บางขุนเทียน สน.ท่าข้าม สน.หลักสอง และ สน.ภาษีเจริญ ให้เร่งปราบจอมโจรรายนี้ให้ได้โดยเร็ว
นอกจากความโหดเหี้ยมไร้ความปรานีปราศรัยแล้ว เสือเรียงยังขึ้นชื่อในด้านยิงปืนแม่นด้วย ดังนั้น ก่อนการปิดล้อมจับกุมตำรวจจึงต้องวางแผนอย่างรัดกุม ตำรวจจาก 4 สน.ร่วม 100 นาย โอบล้อมกระท่อมตั้งแต่เที่ยงคืน แล้วซุ่มดูอยู่จนสว่าง เพื่อประเมินดูฝ่ายตรงข้ามว่ามีกำลังมากน้อยเท่าไร สุดท้ายก็ได้รู้ว่าในกระท่อมนั้นมีเพียงเสือเรียงกับ เสือศิริ สงวนพันธ์ ลูกสมุนคนสนิท เพียง 2 คนเท่านั้น
10 นาทีผ่านไป นอกจากความตายของ ส.ต.อ.ปลอด แล้วยังมีเพื่อนตำรวจอีกเกือบ 100 นาย ได้รับบาดเจ็บ หลังการดวลปืนจบลงตำรวจเข้าเคลียร์พื้นที่ไม่ปรากฏร่องรอยของจอมโจรทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย
จากการปะทะกลางสวนผลไม้บางขุนเทียนแล้ว ยังมีการปะทะกันระหว่างตำรวจกับเสือเรียงอีกหลายครั้งหลายครา แต่เสือเรียงก็สามารถเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้งคราเช่นกัน ทิ้งความสูญเสียให้กับฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง โดยมีอย่างน้อย 3 ครั้ง ที่ตำรวจเพลี่ยงพล้ำสังเวยชีวิตให้กับกระสุนเสือเรียง
ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์ได้นำเสนอข่าว หลวงพ่อเต๋ คงทอง เกจิอาจารย์ดังจากนครปฐม ออกมายืนยันว่าเสือเรียงสามารถหายตัวไปยิ่งทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวเสือเรียงมากขึ้นไปอีก
แม้ชาวบ้านจะปักใจเชื่อในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเชื่อว่า เสือเรียงเพียงแต่ยิงปืนแม่นและหลบหลีกเอาตัวรอดได้เก่งเท่านั้น ทำให้รอดพ้นจากการจับกุมมาได้ตลอด ดังจะเห็นได้จากเสือเรียงถูกวิสามัญฆาตกรรมในเวลาต่อมา หลังจากตำรวจจับตายเสือศิริลูกสมุนคนสนิทแล้ว
ทันทีที่รู้ตัวว่าถูกปิดล้อมเสือเรียงดับตะเกียงเจ้าพายุกระโดดออกหน้าต่างลงเรือพายหนีไปทางคลองแม่ประเส่อ ซึ่งเป็นคลองลัดระหว่างคลองเสือตายกับคลองอ้อม ตั้งใจมุ่งออกคลองเสือตายเพราะเป็นคลองใหญ่
แต่เสือเรียงคงหารู้ไม่ว่ามัจจุราชกำลังจ้องคอยอยู่แล้ว อีกอย่างนอกจากฤกษ์ปล้นสะดมแล้วเขาคงห่างเหินจากการดูชะตาชีวิตตัวเอง ดังนั้นหลังจากลงเรืออีแปะได้ไม่นานเสือเรียงก็ถูกคมกระสุนจาก พลตำรวจพุ่ม ทิมเจริญ เสียชีวิตอยู่บนเรืออีแปะนั่นเอง
สภาพศพเสือเรียงกำปืนบาเร็ตต้าคู่กายเอาไว้แน่น กระสุนอีกจำนวนมาก ข้างเอวปรากฏปืนออโตเมติกโคลท์ 9 มม. กระสุนเต็มแมกกาซีน บนผมเหน็บหวีอยู่ 1 อัน บริเวณคอแขวนพระเครื่องกว่า 20 องค์เป็นพวงใหญ่ นับจากวันนั้นชื่อเสียงของเสือเรียงก็สูญหายไปทุกวินาทีที่เวลาล่วงผ่านไป
สิ้นลายด้วยปืนเจ้า
บรรเจิด เปลี่ยนเชาว์เล่าว่า ครั้งหนึ่งมีคนเคยแต่งเพลงเกี่ยวกับทุ่งบางพลี เนื้อบางตอนว่า "บางพลีเมื่อก่อนเคยมีเสือร้าย บัดนี้มันก็วอดวาย สิ้นลาย" ซึ่งเสือร้ายในที่นี้หมายถึง "เสือเรียง 5 นัด" หรือ จำเรียง ปางมณี ที่ถูกตำรวจบางพลียิงตายไปเมื่อปี 2500
พลตำรวจพุ่ม ทิมเจริญ ใช้อาวุธประจำกายเป็นปืนเล็กยาวบรรจุเองแบบ 66 ซึ่งคนสมัยเก่ารู้ดีว่าเป็นปืนโบราณหรือที่เรียกกันติดปากว่าปืนเจ้า เคยผ่านการทำพิธีรดน้ำพระพุทธมนต์พลวง หลังจากสั่งซื้อมาจากต่างประเทศในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ทำให้เชื่อกันว่าปืนชนิดนี้มีพลานุภาพ สามารถยิงทำลายขุนโจรที่มีคาถาอาคมของลงอักขระของขลังได้ชะงัดนัก
สาเหตุที่มีการประกอบพิธีรดน้ำพระพุทธมนต์หลวง โดยรัชกาลที่ 6 ทรงประกอบพิธีด้วยพระองค์เองก็เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับทหารไทย ที่จะถือปืนชนิดนี้เป็นปืนประจำกายเข้ารณรงค์สงครามยุโรป
ตำนานเสือเรียง ขุนโจร 5 นัด ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์