นอกจากเกมแล้วสะพานเหล็กในสมัยก่อนยังมีของเล่นต่างๆ และเครื่องใช้ไฟฟ้าทันสมัย แต่ตอนนี้ทั้งหมดก็กลายเป็นเพียงอดีต เมื่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ที่เพิ่งถูกสั่งพักงานมาหมาดๆ ด้วยอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) สั่งให้ผู้ค้าทั้งหมดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสินค้าทั้งหมดออกจากพื้นที่ตลาดสะพานเหล็กเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว (2015)
ส่วนสาเหตุอันเป็นที่มาของคำสั่ง ตามรายงานของมติชนออนไลน์ระบุว่า "เนื่องจากที่ผ่านมาบริเวณดังกล่าวถือว่ามีปัญหาความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยมาเป็นเวลานาน และถูกควบคุมด้วยกลุ่มผู้มีอิทธิพล"
นอกจากนี้ สะพานเหล็กยังเป็นพื้นที่สำคัญทาง "ประวัติศาสตร์" จึงต้องเข้าไปจัดระเบียบ เพื่อเปลี่ยนสะพานเหล็กเป็นพื้นที่สันทนาการของประชาชน และพัฒนาลำคลองให้กลับมาใสสะอาดเมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์แล้ว สะพานเหล็กถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี 2438 เพื่อรองรับการขยายถนนเจริญกรุง และด้วยอายุอานามนับร้อยปี สะพานเหล็กจึงผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน กว่าจะกลายมาเป็นแหล่งชุมนุมของเกมเมอร์ในยุค 90 และครั้งหนึ่งพื้นที่แห่งนี้ยังเคยเป็นแหล่งชุมนุมของผู้ให้บริการทางเพศมาก่อนด้วย
นนทพร อยู่มั่งมี ผู้เขียนเรื่อง "กรุงเทพฯ ราตรี" : ความบันเทิงและการเสี่ยงภัยของชาวเมืองหลวงสมัยรัชกาลที่ 5 ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ กรกฎาคม 2556 กล่าวว่า "การสำรวจของรัฐในปี พ.ศ. 2452 พบว่ามีโรงหญิงโสเภณีของไทยหลายแห่งในย่านถนนวรจักร ตรอกบ่อนสะพานเหล็ก สะพานเฉลิม 45 และตลาดพลู"
หลายท่านคงทราบอยู่แล้วว่า การค้าประเวณีนั้นมิได้เป็นสิ่งต้องห้ามเด็ดขาดในประเทศไทยสมัยที่ยังเรียกว่าสยาม แต่มีการควบคุมผ่านพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค ร.ศ. 127 ซึ่งมีข้อกำหนดต่างๆ เช่น ให้นายโรงหญิงนครโสเภณีต้องเป็น "ผู้หญิง" และต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ส่วนผู้หญิงที่จะมาประกอบวิชาชีพนี้ก็ต้อง "ขึ้นทะเบียน" ขอใบอนุญาต ผ่านการรับรองว่าไม่เป็นโรคด้วย เป็นต้น
แต่การค้ากามในย่านสะพานเหล็กในสมัยก่อนนั้น สาวๆ ส่วนใหญ่เป็นโสเภณีไร้สังกัด เห็นได้จากคำบอกเล่าของขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาณจนาคพันธุ์) ที่นนทพรได้ยกอ้างไว้ในบทความเดียวกันว่า
"สะพานเหล็กนี้ส่วนมากหรือแทบทั้งหมดเป็นพวกที่เรียกว่า ‘เถื่อน' คือไม่มีตั๋วอยู่ประจำโคมเขียวถึงเวลาค่ำก็เที่ยวเร่ร่อนอยู่แถวโรงบ่อน สะพานเหล็ก โรงหนังญี่ปุ่น และโรงหวย ที่ชอบยืนพิงราวสะพานเหล็กก็มีหลายคนเสมอ เวลามีคนไทยเดินข้ามสะพานนางก็ทักทายปราศรัย ปะเหมาะชอบมาพากลก็พาไปที่ห้องพักแถวนั้น ราคาตามปกติก็บาทเดียว และอาจสูงขึ้นไปถึงหกสลึงได้ แต่ราคานี้ตอนหัวค่ำ พอดึกเข้าหน่อยโรงหนังเลิก โรงบ่อนเลิกคนไทยก็ค่อยๆ ซาไป เลยเกิดมีสักวาขึ้นว่า ‘สักวาเดือนหงายขายห่อหมก พอเดือนตกเจ๊กต่อน่อจี๊' เป็นอันว่าเจ๊กแป๊ะอะไรก็ช่าง ได้น่อจี๊ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย (น่อจี๊ เท่ากับสองสลึง)"
นั้นก็เป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของสะพานเหล็ก ซึ่งเคยมีทั้งบ่อนทั้งซ่อง ก่อนจะมาเป็นย่านการค้าเครื่องเล่นเกมและเครื่องใช้ไฟฟ้าในยุคหลัง และกำลังจะกลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับประชาชนตามนโยบายของผู้ว่าฯ สุขุมพันธุ์
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าประวัติศาสตร์หน้าต่อไปของสะพานเหล็กจะยังเป็นไปตามโครงการของผู้ว่าฯ รายนี้หรือไม่ เมื่อสุขุมพันธุ์ได้ถูกสั่งพักงานด้วยอำนาจพิเศษไปเสียแล้ว