ชีวิตพิศวงของ “ฮิตเลอร์” จากจิตรกรตกยาก สู่จอมเผด็จการ ผู้เขย่าโลก
ความใฝ่ฝันในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่นของฮิตเลอร์ ก็คือการเป็นจิตรกร แม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว แต่ฮิตเลอร์ก็คงมุ่งมั่นทำตามใจปรารถนา พยายามฝึกปรือพัฒนาทักษะด้านการวาดภาพ ด้วยหวังว่าสักวันตนต้องเป็นจิตรกรชื่อดังก้องโลกให้จงได้
แต่แล้วก็เหมือนชะตากรรมเล่นตลก แม้ชื่อเสียงของเขาจะโด่งดังคับฟ้า แต่ไม่ใช่ในฐานะจิตรกร หากโลกกลับจดจำเขาในฐานะจอมเผด็จการ ผู้จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 2 และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว
ฮิตเลอร์เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1889 (พ.ศ. 2432) ในประเทศออสเตรีย บุคลิกของเขาในวัยเด็กกระทั่งถึงวัยรุ่น ไม่มีลักษณะที่บ่งบอกเลยว่า จะกลายจอมเผด็จการที่สร้างความหวาดผวาให้กับโลกได้ในอนาคต
เขาเดินทางสู่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย เมื่ออายุ 17 ปี เพื่อสอบเข้า Academy of Fine Art สถาบันศิลปะชั้นนำของยุโรป แต่ก็ถูกปฏิเสธจากสถาบันดังกล่าวถึง 2 ครั้ง 2 ครา และเมื่อเงินที่นำติดตัวมาหมดเกลี้ยง เขาก็จำต้องเข้าไปอยู่สถานสงเคราะห์คนไร้บ้าน และเลี้ยงชีพด้วยการทำงานรับจ้างสารพัด
กระทั่งต่อมาเขาได้พบกับ ไรน์โฮลด์ ฮานิช ที่มองเห็นลู่ทางในการหาเงินจากความสามารถด้านการวาดภาพของฮิตเลอร์ ทั้งคู่ตกลงเป็นหุ้นส่วนกัน โดยฮิตเลอร์เป็นผู้วาดภาพวิวทิศทัศน์ในกรุงเวียนนา และลอกเลียนจากโปสการ์ด ส่วนฮานิชรับหน้าที่นำไปขายให้กับนักท่องเที่ยว ทำให้ฮิตเตอร์สามารถประทังชีวิตด้วยงานศิลปะตามที่เคยใฝ่ฝัน แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เพราะหลังจากเขารู้ว่า ถูกหุ้นส่วนคดโกง ฮิตเลอร์ก็เลิกยุ่งเกี่ยวกับฮานิชทันที พร้อมกับความแค้นที่สุมแน่นเต็มอก ที่รอวันชำระ
ต่อมาฮิตเลอร์ได้เดินทางไปยังประเทศเยอรมนี และสมัครเป็นพลทหารเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาแสดงความใจกล้าบ้าระห่ำ จนได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติ และในช่วงเวลานั้นเอง ฮิตเลอร์ก็ได้ค้นพบพรสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่ นั่นก็คือการเป็นนักพูดฝีปากเยี่ยม ในการโน้มน้าวและปลุกใจสร้างความฮึกเหิม
ซึ่งคุณสมบัติด้านการพูดอันทรงพลังนี่แหละ กลายเป็นใบเบิกทางสำคัญให้เขาก้าวขึ้นมามีบทบาทในพรรคนาซี หลังจากเยอรมนีพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นการไต่เต้าจากระดับพลทหาร สู่ Fuhrer ผู้นำสูงสุดของประเทศ ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ก่อนยกทัพรุกรานประเทศต่างๆ จนเป็นชนวนเหตุนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
ส่วนศิลปะแนวที่เขาชื่นชอบและสนับสนุน ก็คือ Realism ที่ถ่ายทอดออกมาอย่างเหมือนจริงตามที่ตาเห็น เเละถ้าเอ่ยถึงฮิตเลอร์ในเเง่มุมศิลปะ ต้องเเยกออกเป็น 2 ประเด็น คือ รสนิยม กับทักษะฝีมือ
เเม้ฮิตเลอร์มีรสนิยมด้านศิลปะที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เเต่หากว่ากันในเรื่องทักษะ ต้องถือว่ามีฝีมือในระดับหนึ่งทีเดียว โดยเฉพาะภาพวาดสถาปัตยกรรมต่างๆ อีกทั้งการวาดภาพสีน้ำในสไตล์ Realism เก็บกิ๊กทุกรายละเอียด ต้องอาศัยทักษะความเเม่นยำในการลงสีเป็นอย่างมาก เพราะไม่สามารถระบายทับกันได้หลายครั้ง
แต่ด้วยความที่ไม่เปิดใจให้กับความแตกต่าง ไม่ยอมรับในความหลากหลาย ต้องการควบคุมกำหนดทุกอย่างให้เป็นไปตามแนวทางที่ตนเห็นว่าดีที่สุด และเลือกวิธีทำลายล้างสิ่งที่ตนไม่ชอบ จึงทำให้วงการศิลปะเยอรมนีต้องตกอยู่ในยุคสุดหดหู่ จนศิลปินหลายคนต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ
โศกนาฏกรรมของวงการศิลปะในช่วงเวลานั้นหากจะกล่าวว่า สืบเนื่องมาจากความแค้นที่เขาไม่ได้รับการยอมรับในฐานะจิตรกร รวมถึงการถูกปฏิเสธให้เข้าศึกษาในสถาบันศิลปะชั้นนำในช่วงวัยรุ่น ก็ไม่แน่ชัดว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ และชัดเจนก็คือ ฮิตเลอร์เป็นบุคคลที่เจ้าคิดเจ้าแค้นมากๆ โดยสิ่งที่ยังคงรบกวนจิตใจก็คือความเจ็บช้ำที่ถูกฮานิชคดโกง ในช่วงที่เขาใช้ชีวิตเป็นจิตรกรตกยากที่กรุงเวียนนา ดังนั้นหลังจากมีอำนาจแล้ว เขาจึงสั่งไล่ล่าและสังหารฮานิชในปี ค.ศ.1938 (พ.ศ.2481) เพื่อชำระแค้นที่สุมแน่นอยู่เต็มอก ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา
ชีวิตของฮิตเลอร์ มีหลายเเง่มุมที่ชวนพิศวง เป็นชีวิตที่เริ่มต้นจากความใฝ่ฝัน ต้องการเป็นจิตรกร เป็นผู้สร้างสรรค์ความงดงามผ่านผลงานศิลปะ
ก่อนพลิกผันไปอีกขั้ว กลายเป็นผู้ทำลายล้าง สร้างหายนะ ไม่เว้นเเม้กระทั่งชีวิตตนเอง โดยฮิตเลอร์ตัดสินใจฆ่าตัวตายในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) หลังจากเยอรมนีพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2