ย้อนตำนาน!! เรือดำน้ำ 4ลำแรกของ ราชนาวีไทย
สำหรับแนวคิดการนำ "เรือดำน้ำ" มาประจำการในกองทัพมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เพื่อประโยชน์การป้องกันประเทศ แต่ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติ ฐานะเศรษฐกิจของประเทศก็ไม่อำนวยให้กองทัพจัดซื้อหรือสร้างเรือดำน้ำได้ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปลาย พ.ศ. 2478 สภาผู้แทนราษฎรได้อนุมัติพระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ. 2478 ให้กองทัพจัดการบำรุงกำลังทางเรือให้เสร็จภายในเวลา 5 ปี ใช้งบประมาณ 18 ล้านบาท กองทัพจึงได้กำหนดความต้องการเรือดําน้ำไว้ 5 ลำ ประมาณราคาไว้ลำละ 2.3 ล้านบาท และต้องการในขั้นแรก 3 ลำ
กองทัพเรือลงนามเซ็นสัญญากับบริษัทมิตซูบิชิ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2478 ณ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น โดยตกลงสร้างเรือดําน้ำจำนวน 4 ลำ โดยเป็นเรือดำน้ำขนาดเล็ก ระวางขับน้ำเพียงลำละ 370 ตันเศษเท่านั้น แต่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับเรือดำน้ำทั่วไปแล้ว เรือดำน้ำที่กองทัพเรือจัดสร้างนี้ ก็เป็นเพียงเรือดำน้ำชนิดรักษาชายฝั่งทะเลเท่านั้น
บริษัทมิตซูบิชิได้เริ่มทำวางกระดูกงู ร.ล. มัจฉาณุ และ ร.ล. วิรุณ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2479 โดยมีพระมิตรกรรมรักษา อัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว เป็นผู้กระทำพิธีวางกระดูกงู และต่อมา วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2479 ได้กระทำพิธีวางกระดูกงู ร.ล. สินสมุทร และ ร.ล.พลายชุมพล
กองทัพเรือได้จัดส่งนายทหารชั้นสัญญาบัตรและทหารชั้นประทวนเป็นรุ่น ๆ ไปศึกษาวิชาเรือดําน้ำที่ประเทศญี่ปุ่น จนครบจำนวนทหารประจำการของเรือทั้ง 4 ลำ โดยเรือแต่ละลำมีทหารประจำการ 32 คน รวม 4 ลำ 128 คน
เรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ เดินทางออกจากญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2481 เดินทางถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2481 มีการจัดพิธีต้อนรับอย่างสมเกียรติ
หลังจากนั้น กองทัพเรือได้ขึ้นระวางประจำการเรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ ออกฝึกซ้อมครั้งแรกที่เกาะคราม ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2481 - 10 ตุลาคม พ.ศ. 2481 จากนั้นก็ฝึกซ้อมเป็นประจำเรื่อยมา กระทั่ง เกิดสงครามอินโดจีน เมื่อ พ.ศ. 2484 ภายหลังยุทธนาวีเกาะช้าง เรือดำน้ำทั้ง 4 ลำออกลาดตระเวนใกล้ฐานทัพเรือฝรั่งเศส แต่เพื่อผลทางยุทธการ จึงตัดสินใจเลี่ยงให้เข้ามาปฏิบัติการในน่านน้ำไทย เพราะเกรงว่าจะถูกต่อตีด้วยเรือดำน้ำ
ต่อมาช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้นำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดโจมตีกรุงเทพฯ และได้โปรยทุ่นระเบิดปิดกั้นเส้นทางเดินเรือ บริเวณสันดอนปากน้ำ ทำให้ปิดทางเข้าออกแม่น้ำเจ้าพระยาไปช่วงเวลาหนึ่ง ร.ล. พลายชุมพล และ ร.ล. สินสมุทร ซึ่งออกไปปฏิบัติการกำลังเดินทางเข้ากรุงเทพฯ จึงต้องแวะเกาะสีชังไปก่อน จนกว่าจะทำการกวาดทุ่นระเบิดเสร็จเรียบร้อย
และเมื่อโรงไฟฟ้าสามเสนและวัดเลียบถูกระเบิดทำลาย ทำให้ในกรุงเทพฯ ไม่มีไฟฟ้าพอใช้ ผู้จัดการไฟฟ้ากรุงเทพฯ ทราบว่า เรือดำน้ำสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ จึงร้องขอมายังกองทัพเรือ แล้วอนุมัติให้ ร.ล. มัจฉาณุ และ ร.ล. วิรุณ ไปเทียบท่าบริเวณท่าเรือกรุงเทพฯ (คลองเตย) ทำการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้รถรางสายหลักเมือง-ถนนตก โดยขณะที่เรือทั้ง 2 ลำ จ่ายกระแสไฟฟ้าอยู่นั้น ทหารเรือต้องทำงานเสี่ยงอันตรายอย่างมาก และต้องคอยหลบการโจมตีทางอากาศจากฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่ตลอดเวลา
ต่อมา หลังจากเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน เมื่อ พ.ศ. 2494 ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในกองทัพเรืออย่างมาก กระทรวงกลาโหมมีคําสั่งยุบเลิกหมวดเรือดำน้ำ แล้วให้โอนไปรวมในหมวดเรือตรวจฝั่งที่ตั้งขึ้นใหม่ ต่อมาวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 เรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ ถูกปลดระวางประจำการ รวมเวลารับใช้กองทัพเรือ 12 ปีเศษ หลังจากนั้น เรือทั้ง 4 ลํา ได้จอดคู่เทียบติดกันลอยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณท่าน้ำโรงพยาบาลศิริราชอยู่อีกเป็นเวลานาน