“ยอน การะฝัด” ทูตฝรั่งยะโสปากเสีย! เจอไทยหงายเก๋ง!!
...
"นายการะฝัด" เป็นสำเนียงที่คนไทยเรียก นายจอห์น ครอเฟิร์ด ทูตอังกฤษที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีในรัชกาลที่ ๒ โดยผู้สำเร็จราชการอินเดียได้แต่งตั้งให้เข้ามาเจรจากับไทย นอกจากจะมาขอให้ยกเลิกหรือลดหย่อนภาษีแล้ว ยังจะขอให้เจ้าพระยาไทรบุรีพ้นอำนาจปกครองของเมืองนครศรีธรรมราชด้วย ทั้งนี้ก่อนหน้านั้น พม่าได้มีหนังสือไปชักชวนฝรั่ง ญวน และไทรบุรีซึ่งเป็นประเทศราชของสยาม ให้มาร่วมกันตีเมืองสยาม ฝ่ายไทยยึดหนังสือที่พม่ามีไปถึงพระยาไทรบุรีได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหน้านภาลัย จึงดำรัสสั่งให้เจ้าพระยานครยกทัพไปปราบไทรบุรีฐานเป็นกบฏ แล้วโปรดเกล้าฯให้บุตรเจ้าพระยานครไปปกครองเมืองไทรบุรี
ในพระราชสาร์นที่นายการะฝัดนำมาถวายในครั้งนี้มีใจความว่า มาร์ควิส เฮสติงส์ ผู้สำเร็จราชการอินเดียของอังกฤษ ขอทูลมายังพระเจ้ากรุงสยาม ด้วยประสงค์จะแสดงความเคารพนับถือของชาวอังกฤษที่มีต่อพระองค์ เพื่อจะบำรุงพระราชไมตรีและการไปมาหาสู่กันให้เจริญยิ่งขึ้น ด้วยอังกฤษมีอำนาจฝ่ายใต้ตั้งแต่สิงหลทวีป ตลอดขึ้นไปทางฝ่ายเหนือ จนจดเทือกเขาเขตแดนเมืองจีน ข้างตะวันออกตั้งแต่อังวะตลอดไปฝ่ายตะวันตกถึงประเทศเปอร์เซีย ประชาชนที่อยู่ในปกครองของอังกฤษมีกว่า ๙ โกฏิ เพราะฉะนั้นอังกฤษจึงไม่มีความประสงค์ที่จะแสวงหาอาณาเขตเพิ่มเติมอีก
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯให้จัดพิธีต้อนรับทูตอังกฤษผู้นี้เข้าเฝ้าอย่างสมเกียรติ ซึ่งนายการะฝัดบันทึกในหนังสือที่พิมพ์เผยแพร่ในภายหลังว่า
"ภายในท้องพระโรงนั้นตกแต่งอย่างโอ่อ่า ยาวประมาณ ๘๐ ฟุต กว้างเป็นครึ่งหนึ่งของความยาวและสูง ๓๐ ฟุต มีเสาไม้เรียง ๒ แถว ทั้งหมด ๑๐ ต้น ประหนึ่งเป็นทางนำมาสู่พระแท่นราชบัลลังก์ซึ่งประดิษฐานอยู่ด้านในสุด
ผนังและเพดานเขียนภาพด้วยสีแดงสด บัวผนังปิดทอง ส่วนเพดานนั้นติดดาวทองงดงาม ระหว่างเสาห้อยโคมระย้าชั้นดีจากอังกฤษ ภายในล้วนตกแต่งอย่างมีรสนิยม ที่เสาติดตะเกียงแผ่นดีบุกอย่างดีที่นำเข้ามาจากปัตตาเวีย ทุกอย่างล้วนมีราคาแพงเพราะเป็นของเทศ
พระแท่นราชบัลลังก์ประดิษฐานอยู่ด้านหลังของท้องพระโรงทั้งหมด ปิดทอง สูงประมาณ ๑๕ ฟุต มีลักษณะซับซ้อน คล้ายมุขที่วิจิตร
พระวิสูตรยกทองห้อยยาวเรี่ยพื้นสีเหลือง ปิดบังด้านบนของท้องพระโรงทั้งหมด แหวกออกให้เห็นเฉพาะพระแท่นราชบัลลังก์ เมื่อไม่มีพระราชพิธีใดๆ พระวิสูตรก็จะปิดสนิท ด้านหน้าตั้งเครื่องสูงหลายขนาด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ในพระแท่นราชบัลลังก์ราวกับรูปจำหลัก ทรงฉลองพระองค์ครุยทอง แขนกว้าง ไม่ทรงพระมหามงกุฎ พระมาลาหรือเครื่องประดับอันใด ใกล้กันนั้นทอดคทาทองคำอยู่ด้วย
การตกแต่งของท้องพระโรง ภาพเหล่าขุนนางหมอบกราบ รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและความเงียบสงบนั้นช่างน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง บรรยากาศชวนให้รู้สึกว่าเป็นศาสนพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ มากกว่าการเข้าเฝ้าฯกษัตริย์ในโลกมนุษย์เสียอีก"
และบันทึกกระแสรับสั่งไต่ถามนายการะฝัดไว้ว่า
"ท่านข้าหลวงแห่งอินเดีย (สยามใช้คำว่าเจ้าเมืองเบงกอล) ส่งท่านมาสยามด้วยกิจอันใด" เราจึงอธิบายวัตถุประสงค์ในการมาเยือนครั้งนี้โดยย่อ
"ในการมาครั้งนี้พระเจ้ากรุงบริเตนทรงทราบความหรือไม่"
เราตอบว่า บริเตนอยู่ไกลมาก และเรื่องการทูตในดินแดนตะวันออกนั้นขึ้นอยู่กับท่านข้าหลวงหรืออุปราชแห่งอินเดียเพียงคนเดียว
"ท่านข้าหลวงเป็นพระอนุชาของพระเจ้ากรุงบริเตนกระนั้นหรือ"
เราตอบว่าท่านข้าหลวงุเป็นพระสหายมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ไม่ใช่พระอนุชา จากนั้นก็มีคำถามว่า
"ท่านข้าหลวงมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพระเจ้ากรุงบริเตนหรือ"
"ท่านข้าหลวงมีสุขภาพดีอยู่หรือไม่"
"จากสยาม ท่านต้องการไปเมืองใด"
"ท่านต้องการไปเมืองเว้ ธานีแห่งอินโดจีน กระนั้นหรือ"
และหลังจากที่เราตอบคำถามเหล่านี้แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า
"เรายินดีที่ได้พบคณะทูตจากท่านข้าหลวงแห่งอินเดีย หากต้องการสิ่งใดจงเอ่ยกับเจ้าพระยาสุริวงษ์โกษา สิ่งที่เราต้องการจากท่านมากที่สุดคือปืนไฟ"
เมื่อมีพระราชดำรัสจบแล้ว เสียงกรับดังขึ้น เจ้าพนักงานลดพระวิสูตรทั้งสองข้าง นักดนตรีกลุ่มเดิมก็เป่าแตร"
การที่อังกฤษส่งทูตเข้ามาเป็นครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ก็น่าจะราบรื่นด้วยดี แต่แล้วก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า นายการะฝัดไม่ได้ข้อตกลงกลับไปแม้แต่ข้อเดียว ทั้งนี้ก็เพราะมีเหตุสำคัญหลายประการที่ทำให้ไม่สามารถเจรจากันได้
ข้อแรกก็คือ จุดมุ่งหมายที่อังกฤษส่งจอห์น ครอเฟิร์ดมาในครั้งนี้ ก็เพื่อจะขอลดภาษีปากเรือ และขอให้ไทรบุรีเป็นอิสระจากการปกครองของไทย เพราะอังกฤษแอบไปตีท้ายครัวขอเช่าเกาะปีนังกับพระยาไทรบุรีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ แล้ว ทั้งๆที่พระยาไทรบุรีไม่มีสิทธิไปเซ็นสัญญากับใครโดยพละการ ซึ่งเรื่องนี้ไทยก็รู้ แต่ยังไม่อยากเปิดศึกกับอังกฤษเลยทำเฉยไว้ก่อน อังกฤษจึงมาขอให้ไทรบุรีเป็นอิสระ จะได้เขมือบทั้งหมดได้อย่างคล่องคอ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะให้กันได้ง่ายๆ
ในระหว่างพักอยู่ที่กรุงเทพฯนั้น นายการะฝัดยังได้ส่งคณะสำรวจไปทิ้งดิ่งวัดระดับน้ำจากปากอ่าวเจ้าพระยาเข้ามา ทำให้ชาวบ้านพากันตื่นกลัว ลือกันว่าอังกฤษเตรียมการจะบุกไทย
ที่สำคัญคือทั้งสองฝ่ายต่างมีความรู้สึกเหยียดหยามเกลียดชังซึ่งกันและกัน นายการะฝัดไม่เข้าใจชีวิตวิถีไทย จึงเหยียดหยามว่าขุนนางไทยออกรับแขกเมืองโดยไม่สวมเสื้อ ส่วนฝ่ายไทยก็ไม่พอใจท่าท่าเย่อหยิ่งข่มขู่ ซึ่งนายการะฝัดเคยชินที่ใช้กับคนชวาและมลายูเมืองขึ้นของอังกฤษมาแล้ว
ยิ่งกว่านั้นนายการฝัดยังปากเสีย พูดให้เข้าหูคนไทยว่า
"เมืองไทยเล็กนิดเดียว จีนมากกว่าไทยสิบส่วน ถ้าจะตีเอาเมือง กำปั่นรบสักสองลำสามลำก็จะได้ เอากระสุนเผาบ้านเรือนยิงเข้าไปก็จะไหม้หมด...มีป้อมก็ไม่มีปืน คนรักษาก็ไม่มี ปืนที่อยู่ก็มีสนิม จะใช้สู้รบใครได้"
พฤติกรรมและคำพูดของนายการะฝัดเหล่านี้ ถูกนำกราบบังคมทูนให้ทรางทราบ จึงมีพระราชดำรัสว่า
"มันจะไม่มาทำหนังสือสัญญาโดยสุจริต จึงว่ากล่าวติเตียนบ้านเมือง หยั่งน้ำ ทำแผนที่ จะเป็นไมตรีด้วยกันอย่างไรได้"
ในที่สุดการเจรจาก็ต้องเก็บฉาก นายการะฝัดต้องม้วนเสื่อลงเรือกลับไป แต่ธรรมเนียมไทยก็ไม่หักหาญใครจนเกินเหตุ จัดข้าวของพระราชทานให้นายการะฝัดเป็นส่วนตัวไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะน้ำตาลทรายซึ่งคนยุโรปต้องการกันมาก
เมื่อนายการะฝัดกลับไปสิงคโปร์ ก็ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการสิงคโปร์ต่อจากเซอร์แสตมฟอร์ด แรฟเฟิล ขณะนั้นอังกฤษเกิดวิวาทกับพม่า นายการะฝัดก็เลยหันมามีไมตรีกับไทย มีการค้าขายกันมากขึ้น แต่เชื่อกันว่า นายการะฝัดนี่เองที่เป็นผู้ส่ง นายโรเบิร์ท ฮันเตอร์ หรือนายหันแตร เข้ามาเปิดห้างฝรั่งห้างแรกในกรุงรัตนโกสินทร์ นายหันแตรมีความใกล้ชิดกับขุนนางไทยมาก และเอาปืนคาบศิลาเข้ามาถวายถึง ๑,๐๐๐ กระบอก ได้รับโปรดเกล้าฯเป็น หลวงอาวุธวิเศษประเทศพานิช แต่มีความยะโสโอหังยิ่งกว่านายการะฝัดเสียอีก จึงก่อความวุ่นวายไปทั่ว ทั้งยังแอบเอาฝิ่นเข้ามาขาย นายหันแตรคนนี้คือคนที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกลียดฝรั่งอย่างมาก รับสั่งว่าคนเดียวยังขนาดนี้ เข้ามามากจะวุ่นวายขนาดไหน จึงถูกเนรเทศออกไป ต่อมาก็เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า นายหันแตรนั้นก็คือสายลับของอังกฤษ
ในยุคก่อน อังกฤษนิยมใช้พ่อค้าเป็นสายลับ ส่วนฝรั่งเศสใช้บาทหลวง ยุคนี้อเมริกาใช้องค์กรช่วยเหลือ อาจารย์มหาวิทยาลัยก็มี เมื่อไม่กี่วันมานี้ก็เพิ่งไล่ไปคนหนึ่ง ยังไม่รู้ว่าเหลืออีกกี่คน
จะคบกับต่างชาติก็ต้องระวังเรื่องนี้ ไม่ว่าชาติไหน เขาก็ต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติเขาทั้งนั้น ที่จัญไรก็คือคนในชาติเองไปรับใช้เขาทำลายชาติตัวเอง หวังว่าเขาจะให้เป็นใหญ่เมื่อทำลายชาติได้สำเร็จ อ่านประวัติศาสตร์เรื่องพระยาจักรีในสมัยกรุงศรีอยุธยาเสียบ้าง เปิดประตูเมืองให้พม่าจนต้องเสียกรุงครั้งที่ ๑ แต่เมื่อเสร็จศึกแล้วนึกว่าจะได้เป็นใหญ่ แต่พระเจ้าบุเรงนองให้เอาไปฆ่าเสีย เพราะชาติตัวเองมันยังทรยศได้ คนอย่างนี้จะเลี้ยงให้เชื่องได้อย่างไร จำใส่กบาลกันไว้บ้าง