หลังจากที่อรวรรณเดินกลับออกไปจากห้องพักครูหมวดศิลปะไปแล้ว ผมกับครูจารุนันท์ปรึกษากันว่าเราน่าจะบอกน้องๆในหมวด เพื่อจะได้ช่วยกันตามคุณยายบัวคลี่กันอีกแรง ผมจึงตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องนี้ให้ครูในหมวดเราทราบ
เย็นวันนั้นผมและครุจารุนันท์จึงชวนครูวัยรุ่นในหมวดนั่งจับเข่ากันหลายเข่าคุยกันถึงเรื่องนี้ให้รับทราบพร้อมๆกัน ทั้งครูอ้อ ครูอ๊าฟ ครูเบียร์
มีเพียงอาครุพรเพ็ญที่อาวุโสที่สุดในหมวดเท่านั้นที่ท่านไม่อยู่ ท่านกลับบ้านไปก่อน แต่นับว่าเป็นเรื่องดีที่ท่านไม่อยู่เพราะครุพรเพ็ญเชื่อเรื่องแบบนี้สุดตัวและท่านก็เป็นคนกลัวผีที่สุดในชีวิต
ทุกคนต่างอึ้งไม่แพ้ผมที่ได้ฟังเรื่องของอรวรรณในครั้งแรก แต่พอตั้งสติกันได้เราต่างก็ตั้งแนวทางในการค้นหาคุณยายบัวคลี่กันจากหลายๆวิธีในเบื้องต้นก่อน
ที่สำคัญเราต่างก็ถกประเด็นที่น่าสงสัยกันว่าทำไมถึงต้องมีผมเข้าไปเกี่ยวพันในเรื่องนี้...
ครุก้องเคยทำบุญร่วมกันกับอรวรรณในชาติก่อนรึเปล่า?
ครูเบียร์สอนวาดเขียนตั้งข้อสงสัย...แต่ตอบไม่ได้ว่าจริงรึไม่?
ครุอ้อ ครูสอนดนตรีไทยเดาว่า ผมอาจมีความเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์อะไรสักอย่างที่เกี่ยวโยงกับอรวรรณในชาติก่อนก็เป็นได้...อาจเป็นใครสักคนที่อยู่ในช่วงเวลานั้น ตอนที่พวกเค้ายังมีชีวิตอยู่ มันผูกพันกัน จึงตามกันมาในชาตินี้" ครูอ้อพูดได้น่าฟังที่สุด
ครูอ๊าฟเสริมครูอ้อว่า....
"ครุอาจเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งในกลุ่มแล้วมาเกิดเป็นผู้ชายในชาตินี้...หรืออาจเป็นพ่อของอรวรรณในชาติก่อนที่อยากกลับมาช่วยลูกสาวในชาตินี้ก็ได้นะครับ
อย่าลืมนะ ลูกสาวตายเมื่อชาติก่อน พ่อเสียใจมากๆ ชาตินี้พ่อมาเกิดก่อนเพื่อรอคอยลูกที่ตามมาเกิดทีหลังเพื่อได้ทำตามสัญญา"
ผมกับครูจารุนันท์หันมองหน้ากันอีกครั้ง
"นั่นสิ...ใช่แน่ๆเลย เพื่อนที่ชื่ออมรศรีถึงยืนชี้ป้ายเวชรังษีให้อรวรรณดู เหมือนกับจะบอกว่าคนๆนี้ล่ะที่จะพาเธอไปพบกับคุณยายบัวคลี่" ครูอ้อเสริมให้น่าเชื่อยิ่งขึ้นไปอีก
ผมบอกทุกคนว่า....
"สำหรับพี่แล้ว สิ่งที่น้องๆและหัวหน้าหมวดตั้งข้อสันนิษฐานมานั้นล้วนแล้วแต่น่าเชื่อทั้งสิ้น แต่มันพิสูจน์ไม่ได้ เราไม่ควรเอาความเชื่อมาใช้เป็นประเด็นหลักในการดำเนินชีวิตแต่ให้เอาความเชื่ออันมีเหตุผลที่ตอบคำถามได้มาใช้ในการทำงานแทน"
ผมต้องให้สติทุกคนอย่างไม่งมงาย แล้วพูดต่อว่า "ถ้าเรื่องนี้มีส่วนน่าเชื่ออยู่บ้าง ประเด็นเดียวเท่านั้นที่คิดได้ก็คือ ผมเป็นคนเดียวในชีวิตของอรวรรณที่เธอรู้จัก และสนิทด้วย...และเป็นคนพัทลุงเพียงคนเดียวที่จะช่วยเธอได้ นี่คือเหตุผลที่จริงที่สุด"
ดูเหมือนความสงสัยต่างๆและความเชื่อของทุกคนค่อยลดลงไปได้บ้าง
หลังจากที่เราเลิกถกกัน ผมเดินไปคุยเบาๆกับอาจารย์จารุนันท์ว่า
" เรื่องที่ครูอ้อพูด ผมแอบขนลุกตลอดเลยพี่.."
"เฮ้ยยยยก้อง พี่นึกว่าพี่เป็นคนเดียวซะอีก!!!!!!!!!! ครุจารุนันท์ก็บอกเช่นกัน
การตามหาบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยรู้เพียงชื่อแต่ไม่รู้นามสกุล ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร ยิ่งต้องตามหาในเวลาจำกัดที่คุณยายบัวคลี่อายุมากแล้ว ยิ่งยากขึ้นเป็น 2 เท่า
ในขณะเดียวกัน ผมก็เชิญครอบครัวของอรวรรณมาพบอีกครั้งเพื่อเล่าเรื่องราวให้ละเอียดที่สุด ผมและทุกคนจะได้เข้าใจและสอบถามข้อสงสัยให้กระจ่าง พวกเราตกลงกันว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
พ่อ..แม่..และอรวรรณมาพบผมและครูในหมวดศิลปะอีกครั้งเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด เราสอบถามข้อมูลหรือข้อสงสัยที่มีจนหมด แต่ที่เราทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นมากๆก็คืออรวรรณกับครอบครัวได้นำสร้อยข้อมือที่ทำมาจากลูกปัดเครื่องประดับของโนราห์และแหวนนะโมวงหนึ่งมาให้พวกเราได้ดูด้วย
สร้อยลูกปัดที่เก่าและสีซีดไปมากมีสีดำแทนสีเดิมในบางเม็ดกับแหวนนะโมที่หัวแหวนเป็นรูปตัวอักษรโบราณที่เป็นรุ่นเก่า หากดูสะอาดและสภาพดีกว่าสร้อยลูกปัดข้อมือมากนัก
ของทั้ง 2 สิ่งอยู่ในห่อผ้าเก่าๆที่เปื่อยเกือบหมดแล้ว แม่อรวรรณได้ใส่ห่อผ้านี้ไว้ในกล่องไม้เล็กๆให้ดูดีขึ้น "อาจารย์คะ...สร้อยข้อมือมี 2 เส้นนะคะ เส้นแรกอยู่ที่คุณยายบัวคลี่ อีกเส้นหนึ่งก็คือเส้นนี้ของเอมอรค่ะ"
อรวรรณเน้นเพื่อความเข้าใจ
พวกเราพิจารณาดูของทั้ง 2 สิ่งด้วยใจระทึก ผมรู้สึกอย่างไรก็บอกไม่ถูก หากใจเต้นรัว เร็วราวกับพระที่ต่างจังหวัดกำลังรัวกลองบอกเวลาเพลแล้ว ก่อนกลับ พ่อและแม่อรวรรณขอฝากของทั้ง 2 อย่างไว้ให้ผมเผื่อใช้ในยามจำเป็น หรือต้องใช้ในการตามหาและเป็นหลักฐานแก่ญาติๆของคุณยายบัวคลี่เมื่อตามเจอตัว
ทีแรกก็กล้าๆกลัวๆ แต่พอคิดอีกครั้ง มันก็ไม่น่ากลัวนักหรอก เพราะอรวรรณนั่นล่ะที่เป็นคนเห็นอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ใช่เราเห็น ผมจึงหยิบกล่องไม้ใส่สร้อยกับแหวนยกขึ้นไหว้ อธิษฐานขอให้ตามคุณยายบัวคลี่ให้พบด้วยเถิด ครูจารุนันท์ก็ทำเช่นกัน แล้วนำกล่องไปวางไว้ใต้หิ้งบูชาเศียรพ่อแก่ที่เรากราบไหว้กันเป็นนิจ