ลูกพระนาง กลับถิ่น “ข้ามภพ ข้ามชาติ” ตอนที่ 10
ข้ามภพ ข้ามชาติ ตอนที่ 10
สิ่งเดียวเท่านั้นที่หมวดศิลปะทำได้หลังจากที่ป้ามาลีมาโปรยคำหวาดอันชวนผวาให้ผมบนหัวของทุกคนตั้งเด่เป็นตึกใบหยก 2 ก็คือการรีบทำบุญโดยด่วน.
เรารีบไปทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เด็กสาวที่ใส่ผ้าถุงตามที่ป้ามาลีเห็นกันในวันเสาร์ที่วัดแถวนนทบุรี….ครูจารุนันท์โทรศัพท์ขออนุญาตพ่อแม่อรวรรณ แล้วพาอรวรรณไปทำบุญกับเราด้วยกันทั้งคณะ
ครูพรเพ็ญนำอาหารคาวหวานพร้อมผลไม้มาไหว้ศีรษะพ่อแก่ในห้องพักครูอย่างเร็วรี่…ทั้งที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เราตั้งจิตอธิษฐานขอให้ท่านคุ้มครองครูทุกคน…และหากเด็กคนนั้นคือคุณยายอมรศรีหรือมิใช่ก็ตาม
ขอจงรับส่วนบุญส่วนกุศลและช่วยดูแลคุ้มครองพวกเราด้วย
ไหว้พระและขอพรกันเสร็จ…ครูเบียร์กับครูอ้อถามว่า เราควรจะเก็บกล่องสร้อยลูกปัดข้อมือกับแหวนนะโมไว้ที่หมวดเราอีกหรือไม่?….
มันเป็นคำถามหลังวันอันสยองที่ชวนให้คิดทีเดียว…..ดีหรือไม่ดี ?
แต่ตอนนี้ผมเชื่อว่าทุกคนคงอยากคืนให้อรวรรณไปเก็บดูแลเองแน่นอน
แต่ครูอ๊าฟพูดให้กำลังใจครูทุกคนในหมวดว่า…
“…สบายใจเถอะครับ…ผมเชื่อว่าคนที่ใส่ผ้าถุงท่านนั้น…ตอนนี้เขาอยู่ข้างเราแล้วครับ…ท่านคงคุ้มครองเรานะครับ ”
“…ขอให้ท่านอยู่ข้างๆแกคนเดียวนั่นละอ๊าฟ…”
ครูจารุนันท์ขู่เบาๆ…..ครูอ๊าฟหน้าถอดสี
ครูอ้อบอกว่าไหนๆก็รับของเขามาแล้ว…จะคืนกลับไป เขาก็อาจเสียความตั้งใจ…อุตส่าห์ไว้ใจพวกเรา….เราอาจเป็นที่พึ่งเดียวของครอบครัวเขา…..
อืม…ครูอ้อให้ข้อคิดที่ดีทีเดียว……
แต่เขาหารู้ไม่ว่าใจของพวกเราตอนนี้มันวูบวาบเสียยิ่งกว่ากระโดดหอเป็นไหนๆ
ที่สำคัญ…เราทุกคนสั่งป้ามาลีว่าต่อไปนี้ห้ามใส่ผ้าถุงขึ้นมาเดินแถวระเบียงชั้น 9 หลัง 6 โมงเย็นอีกเป็นอันขาด……..
การค้นหาข้อมูลในการตามหาคุณยายบัวคลี่ทางโซเชียลดูจะไม่ก้าวหน้า…
ผมจึงตัดสินใจโทรศัพท์หาเพื่อนเก่าที่พัทลุงเพื่อขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำทันที….
เพื่อนคนไหนก็ไม่ดีเท่าเพื่อนที่ชื่อโก้…หรือราชัญ…เจ้าของร้านเพียรศรีโอสถ…ร้านขายยาสามัญที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองในพัทลุงที่เป็นแหล่งรวมเพื่อนในรุ่นไว้มากมาย….
ผมเพียงแค่บอกโก้ว่าจะตามหาคนชื่อบัวคลี่ แต่ไม่มีนามสกุล…อายุราว 98 หรือ 99 ปี…ยังมีชีวิตอยู่…เป็นญาติของลูกศิษย์ที่พลัดพรากกันมานาน….ขอช่วยออกความคิดในการตามหาให้ด้วยเถิด….ต้องรีบโดยด่วน เพราะไม่ทราบว่าคุณยายยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ?
โก้ทำเสียงงงๆ…บอกว่าตั้งแต่ขายยาให้ผู้คนมานานก็ไม่เคยถามชื่อคนซื้อเสียด้วยสิ…จะไปตามยังไงล่ะเนี่ย ?….แต่โก้ก็จะพยายามหาวิธีให้ในฐานะเพื่อนเก่าเพื่อนแก่….
ดูเพื่อนรักของผมสิครับ…!!!!!! น่ารักและมีน้ำใจเหลือล้น…..
เช้าของวันพฤหัสบดีที่อากาศในกรุงเทพฯดีเป็นพิเศษ….
ผมกับครูจารุนันท์นำสำรับอาหารคาว หวาน และผลไม้ไปไหว้ครูที่ห้องพักครู พร้อมหยิบกล่องไม้ใส่สร้อยลูกปัดมโนราห์และแหวนนะโมของอรวรรณใส่กระเป๋าเพื่อนำไปเข้าพิธีไหว้ครูที่วังสวนสุนันทา….
ครูจารุนันท์และผมนั่งรถตู้โรงเรียน ไปรับอรวรรณแต่เช้าเพื่อพาไปร่วมงานพิธีไหว้ครูและครอบครูโขนละครที่วังสวนสุนันทา…สถาบันเก่าแก่ที่ผมเคยศึกษา และเคยสอนอยู่ช่วงสั้นๆช่วงหนึ่ง
เราออกรถตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ด้วยกลัวรถติด….จึงถึงวังสวนสุนันทาเร็วกว่าที่คิด
ลงรถที่หน้าประตูฝั่งถนนอู่ทองนอก บอกให้คนขับรถกลับโรงเรียนแล้วค่อยมารับในช่วงบ่าย
ครูก้อง ครูจารุนันท์ และอรวรรณ ยืนอยู่หน้าประตูโบราณที่สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่แล้วเสร็จในช่วงรัชกาลที่ 6
กำแพงที่เคยผุกร่อน เมื่อตอนที่ผมยังเป็นนักศึกษา ที่เศษปูนกะเทาะออกจนเห็นอิฐด้านเนื้อใน บัดนี้ได้ถูกบูรณะจนดูใหม่เอี่ยมแล้วทาสีแดงเข้มทับสีเก่าสวยงามราวพระราชวังสมัยก่อนเสียจริงๆ
ผมพาอรวรรณและครูจารุนันท์เดินเข้าประตูไปตามทางจนถึงสนามหญ้า
สีเขียวสดหน้าเนินสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ที่ใครๆก็เรียกว่าเนินพระนางฯ
เป็นเนินที่เต็มไปด้วยต้นไม้และพืชพันธุ์สวยงาม ให้ความร่มรื่นชื่นใจในยามเช้าตรู่เช่นนี้ดีเหลือเกิน
รูปปั้นเท่าพระองค์จริงของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯกำลังประทับอยู่บนแท่นประทับ ถูกจัดวางไว้ส่วนกลางตรงหน้าเนิน หันพระพักตร์ไปทางสนามหญ้าด้านทิศใต้….ตั้งเป็นจุดเด่นงามสง่า ต้องตาต้องใจแก่ผู้คนที่ได้มาพบเห็นทุกคน….
เช้านี้ผู้คนและนักศึกษายังเข้ามาในสถาบันน้อยนัก
เราทั้งสามคนตรงไปหน้าเนินพระนางฯเพื่อกราบสักการะบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวของเราเอง
พวกเราค่อยๆนั่งลง หยิบธูปเทียน และดอกไม้ที่เตรียมมาขึ้นจุด ก้มลงกราบแล้วอธิษฐานในใจตามแต่ใจต้องการ
บรรยากาศในสวนสุนันทายามเช้าเช่นนี้ช่างเงียบสงบ อากาศดี เห็นความสวยงามจากต้นไม้สีเขียวรอบๆตัวเราเต็มไปหมด
“ ..อาจารย์คะ กลิ่นอะไรคะ…กลิ่นเหมือนดอกไม้ หอมจังเลยค่ะ “
อรวรรณถามผม
ผมนั่งเงียบ พยายามสูดอากาศให้เต็มปอดอีกครั้ง…..ครูจารุนันท์ทำจมูกฟุดฟิด…ดูจะพยายามดมกลิ่นตาม
แต่เราทั้งคู่ไม่ได้กลิ่น….ได้ยินแต่เสียงนกตัวเล็กๆที่เกาะอยู่บนต้นไม้บนเนินเท่านั้น
อรวรรณเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ แล้วสายตาผ่านเลยไปบนเนินที่เต็มไปด้วยต้นไม้ต่างๆ
เธอชันเข่าขึ้น ชะเง้อหน้ามองดูสิ่งใดเลิ่กลั่ก…. ตาจ้องนิ่ง….!!!!!!
“ อาจารย์คะ หนูขอเดินขึ้นไปบนเนินข้างบนนั้นได้ไหมคะ?…ให้หนูขึ้นไปนะคะ ”
ดูท่าทีอรวรรณอยากขึ้นไปบนเนินพระนางฯเหลือเกิน….
ผมถามว่าเธอจะขึ้นไปทำไม…เธอบอกว่าเธอเห็นดอกไม้ที่บนเนินพระนางที่เลื้อยอยู่บนพุ่มไม้ใหญ่ สวย และหอมมาก อยากขึ้นไปดูเสียให้ได้
ผมรู้ทันทีว่าดอกไม้ที่เธอหมายถึงต้องเป็นดอกแก้วเจ้าจอม ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำสถาบันที่มีลักษณะคล้ายดอกแก้ว หากสีของดอกเป็นสีม่วงครามอ่อนๆงดงามเกินพรรณนาได้….ต้นแก้วเจ้าจอมต้นแรกของเมืองไทยถูกปลูกไว้บนเนินนี้…..แต่แปลกใจว่านี่ไม่ใช่ฤดูที่แก้วเจ้าจอมกลีบงามจะแตกดอกออกช่อนี่นา…..และผมก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าแก้วเจ้าจอมมีกลิ่น…..
ผมอนุญาต….เธอรีบเดินอ้อมไปขึ้นเนินด้านข้าง….แล้วไปยืนหยุดอยู่แถวๆต้นแก้วเจ้าจอม…
เธอยืนนิ่งๆ ยิ้มๆ เหมือนยืนมองใคร แล้วแหงนหน้าขึ้นไปบนพุ่มแก้วเจ้าจอมที่แผ่กิ่งก้านร่มครึ้มอยู่ด้านบน….
เอียงตัวซ้าย-ขวา เอื้อมมือเหมือนจะคว้ากิ่งแก้วเจ้าจอมให้ได้….
“ ดูยายอรจะเป็นตัวลิงมากกว่าตัวนางเสียแล้วนะก้อง” ครูจารุนันท์เอ่ย….
“ อืม เด็กกรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้เห็นบรรยากาศสวนที่ครึ้มแบบนี้ คงดีใจและตื่นเต้นเป็นธรรมดานะพี่…”
ผมรู้สึกเข้าใจอรวรรณดี…..
ครูจารุนันท์เดินลัดเลาะผ่านดอกไม้หลากหลายสายพันธ์ตามทางขึ้นเนินไปตามอรวรรณให้กลับลงมา….แล้วบอกผมว่าดูท่าอรวรรณจะเพี้ยนๆแต่เช้า
“ ยายอรบอกพี่ว่าอยากได้ดอกที่เป็นเถาเลื้อยอยู่บนพุ่มของต้นแก้วเจ้าจอม แล้วทำท่าจะดึงลงมา…พี่ไม่เห็นว่าตรงนั้นมีดอกไม้หรือเถาไม้อะไรสักเครือ…มีแต่ต้นแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่อยู่โดดๆเท่านั้นล่ะ….เลยรีบดึงแขนแล้วจูงลงมานี่ ไปเที่ยวทำเก้ๆกังๆบนเนินพระนางฯ ดูจะไม่เหมาะไม่งาม ”
ครูจารุนันท์บ่น แต่กระซิบบอกผมว่าตอนหันหลังเดินออกมาจากต้นแก้วเจ้าจอมได้ไม่กี่ก้าว ได้กลิ่นดอกอะไรก็ไม่รู้ หอมหวานชื่นใจติดปลายจมูกจริงๆ กลิ่นคล้ายดอกส้มโอ หากว่าหอมยิ่งกว่า….
ผมจึงบอกว่าติดเชื้อโรคจมูกหอมจากยายอรเสียแล้ว
เดินผ่านเนินพระนางฯมาได้ไม่กี่เมตร เราจะผ่านตึก 27 ที่เป็นอาคารเก่าอีกอาคารหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางสถาบัน…มีต้นลีลาวดีออกดอกสีขาวละลานตารอบๆอาคาร….ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆอวลไปทั่ว….เป็นอาคารที่มีความสวยงามด้วยรูปแบบดั้งเดิม และทรงคุณค่าทางด้านสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์….
อาคารนี้ชื่ออาคารสายสุทธานพดล เดิมทีเป็นที่ประทับของพระวิมาดาเธอพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา พระอัครชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ใครที่เข้ามาในวังสวนสุนันทา เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่านี่คือตำหนักสำคัญของเจ้านายในสมัยนั้นแน่ๆ….ด้วยมีความสวยงาม กว้างขวาง โอ่อ่า ดูมีมนต์ขลัง และแฝงไปด้วยความน่าเกรงระคนน่าค้นหายิ่งนัก…
ผมยกมือไหว้อาคารแห่งนี้ คนทั้งสองก็ไหว้ตามผม… แล้วเดินไปบนทางเท้าด้านข้างอาคาร แล้วจะตรงไปหอประชุมที่ทำพิธี….
ขณะที่ใกล้ผ่านตัวอาคารไป….อรวรรณหยุดนิดหนึ่ง เธอชี้ไปที่ฝั่งตรงข้ามทางเดินของอาคารเยื้องไปด้านหน้าริมคลอง…..
ถามผมว่านั่นต้นอะไร ? มีดอกไม้สีเหลืองทองเต็มต้นสวยจังเลย แล้วก็มีเด็กผู้ชายผิวคล้ำ ผมหยิกๆ ทัดดอกไม้สีแดงๆยืนอยู่ที่ใต้ต้นตรงนั้นด้วย
ผมกับครูจารุนันท์เหลียวไปดู….ไม่เห็นอะไรอย่างที่อรวรรณพูด…..เห็นแต่ถนนที่มีไว้สำหรับเดินเท่านั้นเอง….ผมจึงเงียบ ไม่พูดอะไร…..รีบพาเธอเดินเลยไปทันที
สวนสุนันทาแห่งนี้ยิ่งมีประวัติความเก่าแก่และเรื่องราวมากมายที่ชวนให้ตื่นเต้นอยู่มากโขทีเดียว…..ไว้มีเวลา ผมคงจะได้เล่าให้ฟังในลำดับต่อไป….
ถึงอาคารสำหรับไหว้ครู….ดูเหมือนเรา 3 คน จะเป็นกลุ่มแรกที่ไปถึง มีครูบาอาจารย์และนักศึกษาสาขาวิชาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์และการละคร) กำลังช่วยจัดเตรียมสิ่งของไม่มากนัก….
เศียรของครูบาอาจารย์ทั้งฝ่ายพระ ยักษ์ ลิง หรือเทพต่างๆถูกวางไว้ในที่สำหรับบูชาเรียบร้อยแล้ว….
ผมเหลือบไปเห็นอาจารย์ของผม 2 ท่าน คือท่านศาสตราจารย์ ดร. ชมนาด
กิจขันธ์ และอาจารย์ศากุล เมืองสาคร
ทั้งสองท่านเป็นอาจารย์ที่ผมให้ความเคารพรักตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา….
ผมจึงพาอรวรรณและครูจารุนันท์ตรงเข้าไปกราบอาจารย์ทั้งสองท่าน
ท่านศาสตราจารย์ ดร. ชมนาด กิจขันธ์ และอาจารย์ศากุล เมืองสาครดีใจที่เห็นผม…ท่านถามว่าทำไมปีนี้ถึงพาลูกศิษย์มาคนเดียว….
ผมเรียนท่านว่าเหลือคนนี้เพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้ครอบครู….ปีก่อนเธอไม่ได้มาเพราะไม่สบาย…แล้วก้มไปใกล้ๆอาจารย์พร้อมบอกท่านว่า….
“ พาเจ้าลูกศิษย์คนนี้ที่สัมผัสกับคนในชาติก่อนได้มาเข้าพิธีให้เป็นมงคลครับ ”
“ ไอ้บ้า…ยังตลกเหมือนเดิมนะ…” ท่านศาสตราจารย์ชมนาดให้พรผมแล้วหัวเราะเสียงดัง…..
ส่วนอาจารย์ศากุลท่านบอกว่า “ ช่างจินตนาการเหมือนเดิมนะเรานี่ ”
ผมกราบท่านทั้งสองอีกครั้ง…ได้แต่ยิ้มแล้วรำพึงในใจว่า เรื่องจริง แม้อาจารย์เราเองก็ยังไม่เชื่อ…..
เมื่อพิธีไหว้ครูดำเนินไปถึงขั้นครอบครู ผมได้นำกล่องไม้ใส่สร้อยลูกปัดโนราห์กับแหวนนะโมใส่ขันเข้าร่วมในพิธี… เรานำขันกำนลคนละใบ มีดอกไม้ ธูปเทียน ผ้าเช็ดหน้าขาว และเงินกำนลครูคนละ 24 บาทเข้าร่วมพิธี…
ผมกับครูจารุนันท์เข้าพิธีครอบครูเป็นกลุ่มกลางๆ….กลุ่มหนึ่งๆก็มีผู้เข้ารับการครอบ 8 คน
ส่วนอรวรรณได้เข้าไปเป็นกลุ่มหลังๆ เพราะยังเป็นนักเรียน…เธอต่อแถวจนเกือบสุดท้าย แต่เธอได้นั่งตรงกลางแถว ซึ่งเป็นที่ตรงหน้าครูผู้ทำพิธีพอดี
ผมกับครูจารุนันท์เข้าพิธีครอบครูเสร็จแล้ว จึงปลีกตัวมานั่งรออยู่ด้านข้างบริเวณพิธี….
ได้แต่ชะเง้อมองตอนที่ครูผู้ทำพิธีกำลังครอบศีรษะครูบาอาจารย์ให้อรวรรณ…
ครูผู้ทำพิธีเจิมหน้าผากให้อรวรรณและกลุ่มของเธอ….
ศีรษะแรกที่ครอบคือศีรษะพระครูฤาษี….อันเป็นสัญลักษณ์ของครูทั่วไป…
อรวรรณค่อยๆก้มลง…..ครูผู้ทำพิธีครอบให้……ผมกับครูจารุนันท์ใจเต้นตุ้บๆ….
ศีรษะต่อไปคือศีรษะพระพิราพ….อันเป็นสัญลักษณ์ของครูโขน…
ครูผู้ทำพิธีครอบให้….ขนที่แขนผมลุกชัน….
หันไปมองครูจารุนันท์….เธอเพิ่งเอามือขึ้นลูบแขนของเธอถี่ๆ….แสดงว่าขนที่แขนเธอลุกชันไปทั้งแถบ….
ศีรษะที่สาม…คือเทริดของมโนราห์….อันเป็นสัญลักษณ์ของครูละคร….
ครูผู้ทำพิธีครอบให้ทุกคน….แต่ผมสังเกตว่าเมื่อครอบให้อรวรรณ ราวกับครูครอบให้เธอนิ่งและนานกว่าคนอื่นๆ…..สังเกตเห็นครูพูดปากขยุบขยิบกับอรวรรณครู่หนึ่ง…..แล้วก็เป็นอันเสร็จพิธีการครอบศีรษะครูบาอาจารย์…..
ขนตรงแผงคอด้านหลังผมลุกขึ้นกราว…..
หันไปมองครูจารุนันท์….ไม่ได้พูดอะไรกัน…ครูจารุนันท์เอามือถูแขนตัวเองเร็วและถี่
เสร็จการครอบศีรษะแล้ว ครูผู้ทำพิธีมอบของเป็นเหรียญที่ระลึกให้ผู้ครอบ…ท่านยื่นให้อรวรรณและนักศึกษาที่เข้าครอบครูพร้อมกัน ผมกับครูจารุนันท์ก็ได้มาเช่นกัน…..
อรวรรณเดินมาหาผมกับครูจารุนันท์ เสื้อขาวและโจงกระเบนผ้าแดงที่เธอนุ่ง…
ใบเงินใบทองห่อหญ้าแพรกที่ทัดหูของเธอ และรอยแป้งดินสอพองที่เจิมหน้าผากในขณะเข้ารับการครอบครู ทำให้ดูเป็นเด็กสาวโบราณมากขึ้น… แต่ผมเห็นขนที่แขนของเธอได้เลียนแบบเจริญรอยตามผมกับครูจารุนันท์ คือขนแขนเธอตั้งชันเช่นกัน
เธอยื่นมือมาให้ผมกับอาจารย์จารุนันท์ดูสิ่งที่อยู่ในมือ….แล้วค่อยๆคลี่ฝ่ามือออก
มีเหรียญพ่อแก่ที่ครูผู้ทำพิธีมอบให้ทุกคนอยู่ในมือ…แต่มีอะไรเพิ่มมาด้วย
ผมกับครูจารุนันท์จ้องดูใกล้ๆ….มันคือดอกไม้แห้งขนาดย่อมๆสามดอกที่เหี่ยวแห้งจนลีบ แต่ดูเหมือนเก็บรักษาสภาพไว้อย่างดี….และมีกลีบดอกไม้อีกดอกหนึ่ง ค่อนข้างโตกว่าดอกชนิดแรก…กลีบแบนบางๆ 5 กลีบ มีก้านเกสรยาวอยู่กลางดอก…..สภาพแห้งเหมือนดอกไม้ที่ทับด้วยกระดาษไว้นานมากแล้วเช่นกัน….เมื่อหยิบขึ้นดูก็รู้ว่าคือดอกชบาดอกเล็กๆ แต่ดอกไม้ชนิดแรกไม่เคยเห็นมาก่อน….จึงไม่ทราบว่าคือดอกอะไร? หากมีกลิ่นหอมยิ่งนัก
ครูจารุนันท์หยิบดอกไม้แห้งชนิดแรกขึ้นมาดมดอกหนึ่ง
“ เฮ้ยยย….กลิ่นนี้ไง ที่พี่ได้ดมตอนอยู่บนเนินพระนาง กลิ่นนี้เลยก้อง “
ครูจารุนันท์ตาโต…..หันมามองทางผม….
อรวรรณยิ้ม…ไม่พูดอะไร…..ปล่อยให้ผมกับครูจารุนันทร์แปลกใจ
“ คนอื่นได้ดอกไม้แห้งแบบนี้เหมือนอรมั๊ย ? ” ผมถาม
“ อรก็ไม่ทราบค่ะอาจารย์ ”….อรวรรณตอบเบาๆ
ผมกับครูจารุนันท์รีบเดินไปขอดูของที่ครูผู้ทำพิธีมอบให้นักศึกษาคนอื่นๆที่เข้าพิธีพร้อมกับอรวรรณทันที
ไม่มีใครได้เหมือนอรวรรณเลยสักคน แต่ได้เหรียญที่ระลึกที่เป็นพ่อแก่เหมือนกันหมด
ความประหลาดใจวิ่งถาโถมเข้ามาทักทายผมกับครูจารุนันท์ในทันที
เมื่อเสร็จพิธี….ผมรีบไปเอากล่องไม้ที่ใส่สร้อยลูกปัดกับแหวนนะโมกลับออกมาจากการทำพิธี…อรวรรณขอเอาดอกไม้แห้งใส่รวมไว้ในกล่องด้วยกันเลย…..ส่วนเหรียญพ่อแก่ เธอขอเก็บไปให้น้องชาย
ผมพาครูจารุนันท์และอรวรรณเดินออกจากหอประชุมลงไปนั่งพักและกินข้าวกล่องมื้อเที่ยงที่ชุดโต๊ะเก้าอี้นั่งพักริมคลองข้างๆหอประชุมแห่งนั้น ซึ่งมองเลยฝั่งคลองไปจะเห็นศาลพระนางฯที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามอีกแห่งหนึ่ง ใกล้ๆศาลาริมน้ำ
ศาลแห่งนี้อยู่ค่อนไปช่วงกลางสถาบัน ถูกสร้างเป็นโดมทับด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามจับใจยิ่งนักเช่นกัน
“ อร…ครูท่านให้ดอกไม้อรมาเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ท่านบอกว่าไงบ้าง? ”
ผมถามด้วยความอยากรู้ยิ่งนัก…..
“…ค่ะท่านให้อรมา..” อรตอบแล้วยิ้ม…..
“ ครูท่านพูดอะไรกับอรเหรอ?”
ครูจารุนันท์ถามย้ำด้วยความสงสัย…..
และนี่คือคำพูดที่อรเล่าให้ผมกับครูจารุนันท์ฟังจนไม่อาจตักข้าวกล่องใส่ปากได้
อรวรรณพูดว่า….
” ตอนที่หนูครอบครูในพิธีครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นเทริดของมโนราห์…
ขณะที่หนูก้มศีรษะลง…แล้วครูกำลังจะครอบเทริดมโนราห์ลงบนศีรษะ… หนูเห็นว่ามีคนสวมชุดมโนราห์เต็มยศ…สวมถุงเท้าสีขาวยาวเลยเข่า..มีผ้าห้อยหน้าและซ้าย-ขวาสีเขียวและสีแดงวางอยู่บนตัก…ท่านสวมชุดเป็นเสื้อลูกปัดสีสดๆแกว่งไปมาสวยงามมากค่ะ….ตรงไหร่มีปีกงอนคล้ายเขาวัวโค้งๆเหมือนชุดตัวพระทั้งซ้าย-ขวา
ท่านสวมเทริดด้วยคะ….ชุดสวยงามมาก…ท่าทางท่านก็งามสง่าเหมือนครูที่ทำพิธีนี่ละคะ…แต่เป็นคนละคนกัน
ท่านยิ้มแย้ม…ดูใจดี…. และท่านเป็นคนครอบเทริดให้หนู… พอครอบเสร็จ ท่านพูดภาษาใต้ว่า
“…นี่เหรียญพ่อแก่…ไว้เป็นสิริมงคลกับตัวเอง…..ส่วนนี่…ดอกโนรา 3ดอกจากเนินพระนางฯ แทนความหอมและความอ่อนโยนแต่เข้มแข็งเหมือนเถาที่เลื้อย….. ส่วนชบาของไอ้คะนังที่ยืนอยู่ใต้ต้นสารภีที่ข้างตึกสวยตึกนั้น…. มันมาจากพัทลุงแล้วมาอยู่ในวังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โน่นแน่ะ…ช่วยพามันกลับบ้านเราด้วยนะ..”
ผมกับครูจารุนันท์นั่งฟัง มีอาการหลังตรงเป๊ะ….ตายืน… นึกถึงตอนที่เธอกำลังครอบเทริดแล้วเห็นครูพูดกับเธอจริงๆ…แต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร
อรวรรณพูดต่อว่า
“เมื่อเช้าที่อาจารย์พาหนูไปไหว้สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ที่ตรงเนิน
หนูได้กลิ่นหอมของดอกไม้จริงๆค่ะ
พอกราบท่านเสร็จ…หนูเห็นอมรศรียืนยิ้มอยู่บนเนินที่ใต้ต้นแก้วเจ้าจอม…!!!!!!!!
“ เฮ้ย อรเห็นอมรศรีอยู่บนเนินนั่นเหรอ..? ” ผมพูดแทรก
“..ใช่ค่ะ….เธอกวักมือเรียกหนูด้วยความดีใจ…บอกให้รีบขึ้นไปเร็วๆ
พอหนูไปถึง….เธอชี้มือไปที่พุ่มแก้วเจ้าจอมบนกิ่งที่มีเถาโนราออกดอกเป็นช่อๆพันอยู่
แล้วอมรศรีก็บอกว่า…
“ นั่นโนรานะ…ดอกโนรา…หอมมั้ย?…เด็ดกลับบ้านไปสัก 3 ดอกนะ
โนราบ้านเรา… แทนเธอ…แทนฉัน..และแทนบัวคลี่ไง
ความรักของเพื่อนแบบเรา 3 คน…นะเอมอรนะ…” .
หนูจึงพยายามดึงเถาดอกไม้นี้ลงมาก่อนที่อาจารย์จารุนันท์จะพาหนูลงมาเสียก่อนค่ะ
ตอนจะเดินลงมาจากเนิน…อมรศรีรีบคว้าดอกไม้มาช่อหนึ่ง
แล้ววิ่งไปยื่นให้อาจารย์จารุนันท์ที่ใกล้จมูกตอนอาจารย์หันหลังเดินกลับมาค่ะ
แต่อาจารย์ไม่ทราบ
” ฟังถึงประโยคนี้…ครูจารุนันท์แทบหงายหลังลงไปในคลองเสียในบัดดล…!!!
“….โอ๊ยยยย ยายอรเอ้ยยย…..นี่ฉันขนหัวลุกไปหมดแล้วเนี่ย….”
ครูจารุนันท์ ทำตาเหลือก…เอามือทาบอกเป็นครั้งที่สิบเข้าไปแล้ว
“ ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ…อมรศรีบอกว่าจะคอยดูแลทุกท่านให้ดี…ไม่ต้องกลัว…”
เมื่อวันก่อนอมรศรีเค้าบอกว่าเค้ายังลงลิฟต์ไปเป็นเพื่อนพวกอาจารย์เพื่อส่งตอนกลับบ้านถึงหน้าโรงเรียนด้วยซ้ำค่ะ..”
ผมกับอาจารย์จารุนันท์แทบจะหงายหลังลงสระไปพร้อมๆกันแบบนักยิมนาสติกลีลาใต้น้ำในโอลิมปิกเกมอีกสักรอบเสียกระนั้นแล
ตอนขึ้นรถตู้กลับโรงเรียนก็เป็นเวลาบ่าย4โมงแล้ว…..อรวรรณนั่งเบาะหลังสุดคนเดียว…ผมนั่งหน้าใกล้คนขับ….ครูจารุนันท์นั่งแถวหลังคนขับ….
อรวรรณเอนหลังพิงเบาะได้ไม่ถึง10 นาที เจอแอร์เย็นๆบนรถไปครู่เดียว…เธอก็ผล็อยหลับเอนราบไปกับเบาะนั่นเองผมหันไปคุยกับครูจารุนันท์ว่า ที่อรวรรณพูดเรื่องดอกโนราบนเนินพระนาง กับต้นสารภีแถวถนนหน้าตึก 27 นั่น มันจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?
แถมเจ้าเงาะคะนังคนนั้น เรารู้แต่ว่ารัชกาลที่ 5 ท่านทรงนำเงาะป่าจากพัทลุงมาชุบเลี้ยงไว้ในวังแต่ครั้งอดีต แล้วท่านก็ได้แต่งบทละครที่เรารู้จักกันดีคือเรื่องเงาะป่านั่นไง….มันดูยังไงๆอยู่นะ
ของทั้ง2อย่างมีความเกี่ยวพันกับจังหวัดพัทลุงอย่างน่าประหลาดใจเชียวหรือเนี่ย?
เราต้องตรวจสอบข้อมูลที่อรวรรณพูดให้แม่นมั่นก่อนว่าจริงแท้แน่นอนเพียงใด?
ผมหยิบมือถือขึ้นมา หันไปบอกครูจารุนันท์ว่าช่วยตรวจข้อมูลเรื่องวังสุนันทาในอดีตจากอินเทอร์เน็ตไปก่อน ส่วนผมจะโทรฯถามศาสตราจารย์ชมนาดดูว่าท่านพอจะทราบเรื่องนี้บ้างหรือไม่….เพราะท่านอยู่ในวังสวนสุนันทามานานแล้ว
“ ตั้งแต่ครูมาฝึกสอนที่สวนสุนันทาเมื่อปี 2517 (ซึ่งเป็นเวลา 41 ปีมาแล้ว) ครูจำได้ว่ามีต้นสารภีอยู่ข้างตึก 27 นะ……และต้นโนราที่เนินพระนางฯก็น่าจะเคยเห็น แต่ไม่รู้ว่าเป็นต้นโนรา “
ผมเกิดความประหลาดใจที่สุดเข้าไปอีกรอบหนึ่งเมื่อคำบอกเล่าของอาจารย์บอกมาเช่นนั้น
นี่ยายอรวรรณสามารถเห็นอะไรได้เพียงนี้เชียวหรือ?????
เล่าให้ครูจารุนันท์ฟังจบ ช่วยกันสืบค้นข้อมูลจากแหล่งความรู้ในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับสวนสุนันทาในอดีตบนรถตู้กันไปเรื่อยๆ
เหมือนนักสืบที่กำลังตามค้าหาร่องรอยปริศนาของดอกไม้ในวังสุนันทานั่นเอง
วันนั้นรถราติดเหลือเกิน….รถตู้โรงเรียนพาเราวิ่งออกจากถนนอู่ทองนอกหน้าสวนสุนันทามาเข้าเส้นถนนราชสีมาจนถึงสวนรื่นฤดีรถก็แทบไม่ขยับ…
พอเลี้ยวขวาที่ถนนสุโขทัย….รถก็ยิ่งติดหนึบเหมือนตังเมผสมยางมะตอยเคล้าเป็นเนื้อเดียวกัน
เสียงแปลกๆดังลอยมาจากหลังรถ บริเวณเบาะที่ยายอรวรรณหลับอยู่
ผมกับครูจารุนันท์ค่อยๆเงี่ยหูฟังจึงได้รู้ว่าอรวรรณนอนละเมอ….ฮึมฮัมเพลงอะไรไม่รู้ได้… ได้ยินแต่เสียงร้องว่า เท่งโนง…เท่งโนง..นิ้งหน่อง..นิ้งหน่อง…
ผมกับครูจารุนันท์พากันหัวเราะ..หันไปดูยายอรวรรณพร้อมๆกัน….เธอยังฮัมเพลงเหมือนเพลงที่ผมคุ้นเคยนัก…..แต่ก็คิดว่าเธอคงเหนื่อยจากพิธีไหว้ครูและคงเข้าถึงอารมณ์มากจนละเมอ…..นึกไปก็ขำไป
แต่ผมมาสะดุดหูสะดุดใจก็ตอนที่เธอร้องเป็นคำว่า…ว่า..ออ…ออ…อ้อ…ออ
แบบเอื้อนร้องในการแสดงมโนราห์ทางภาคใต้ชัดๆ…..
เสียงเธอแว่วมาจากเบาะหลังรถ…….
“….ครูเอยครูสอน สอนแล้วแม่นา…สอนให้แม่อมรศรี…แม่บัวคลี่น้องน้อย….ให้ทรงกำไลแม่เอมอรจะพาให้ทรงกำไล…”
ครูจารุนันท์หูผึ่ง..ตาลุก…รีบลุกขึ้นโน้มตัวมาเกือบถึงเบาะหน้ารถที่ผมนั่ง….ไม่กล้าหันหลังไปมอง
แถมเอามือทั้งสองมาเกาะไหล่ผมแล้วบีบแน่น……..
ผมเองก็อยู่ในภวังค์…..ไม่กล้าเอี้ยวตัวไปมองเบาะที่อรวรรณหลับอยู่….สายตาของผมกับครูจารุนันท์จ้องไปที่กระจกหน้ารถคนขับ…มันสะท้อนกลับไปยังเบาะด้านหลังให้เราได้เห็นภาพผ่านทางกระจกบานนี้
ไม่มีภาพใดๆปรากฏ……..ช่างเป็นโชคดีที่สุดของเราที่เธอไม่เผลอลุกขึ้นมารำทำท่ามโนราห์บนรถ….คงได้แต่พึมพำเบาๆแล้วก็แผ่วไป…..
นี่ถ้าเธอเที่ยวลุกขึ้นมาตั้งวงมโนราห์เหมือนอย่างว่า เห็นทีผมกับครูจารุนันท์คงกระโดดออกนอกรถตู้แบบไม่ตั้งตัวตั้งใจเป็นพระกระโดดกำแพงเชียวล่ะ
… “ เด็กนักเรียนซ้อมร้องเพลงมโนราห์เหรอครับอาจารย์.” ?
น้าสายัณห์ คนขับรถถามพร้อมสีหน้าแปลกใจว่าทำไมครู 2 คนถึงได้มีท่าทางเหมือนโดนผีหลอก
ยังไม่ทันจะหายตกใจกัน เสียงคุณแม่อรวรรณคนดีก็แผ่วลงแล้วเงียบสนิทเช่นเดิม
“ พี่…เราจะยังอยากยุ่งกับเรื่องนี้อยู่อีกไหม? นี่ขนหัวผมจะร่วงอยู่แล้วนะ “
ผมปรับทุกข์กับครูจารุนันท์….
“ เออๆ…ช่วยเด็กมันเถอะ ถึงขั้นนี้แล้ว จะมีใครช่วยได้เล่าก้องเอ้ยยย “
กว่ารถจะถึงโรงเรียน….ผมกับครูจารุนันท์นั่งสวดมนต์บนรถกันราวร้อยรอบ
เมื่อเช้าวันใหม่มาถึง….
ที่ชั้น 9 ห้องพักครูของหมวดเราคึกคักขึ้น…..เพราะอรวรรณเดินยิ้มร่ามากราบเศียรพ่อแก่ และไหว้กล่องไม้….ก่อนเข้ามาสวัสดีครูทุกคน
ครูพรเพ็ญถามว่าไปไหว้ครูมาสนุกไหม?
อรวรรณบอกว่าสนุกมากค่ะ….พิธีขลัง และน่าขนลุกมากๆ
ผมกับครูจารุนันท์มองหน้ากันเป็นรอบแรกของวันนี้….แล้วถอนหายใจ
ไม่นึกถึงหัวอกครูก้องกับครูจารุนันท์เลยว่าสนุกบ้างหรือไม่ ?
และตัวเองคงไม่รู้หรอกว่าทำอะไรไว้บนรถตู้ของโรงเรียนเมื่อวานนี้
ครูเข็ดขยาดไปหลายวันเชียวนะยายอร
เที่ยงๆหลังจากสอนเสร็จแล้ว….ผมลงไปกินข้าวที่โรงอาหารที่ชั้น 2 ของโรงเรียนแล้วก็เดินเลยไปห้องสมุดที่จัดว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในโรงเรียนรัฐบาล…ตั้งใจไปขอคำปรึกษาจากครูสุพิณ ที่เป็นบรรณารักษ์ของโรงเรียน
ท่านมีความรู้รอบตัวมากมายนัก และเผื่อท่านจะได้ให้คำแนะนำหรือค้นคว้าเรื่องที่ผมคาใจเกี่ยวกับดอกโนรากับต้นสารภีที่ตึก 27 ในสวนสุนันทาได้ชัดเจนขึ้น
ขณะก้าวเท้าเดินเข้าห้องสมุด….เผอิญเหลือบไปเห็นบอร์ดข้างๆทางเดินเข้าห้องสมุดเขียนเป็นภาษาอังกฤษ และแปลเป็นภาไทยว่
“ อย่าครั่นคร้ามกับความกลัว…มันไม่ได้คอยหลอกหลอนคุณ…แต่มันจะทำให้คุณรู้ว่า…ผลลัพท์มันคุ้มค่ากับการที่คุณได้เผชิญกับสิ่งเหล่านั้น…”
เลยมาเฉลียวใจว่า จริงสิ…ผมและเพื่อนครูในหมวดกลัวเหตุการณ์ในเรื่องนี้มา 2 ครั้งแล้ว….ทั้งตกใจเรื่องป้ามาลีและเหตุการณ์สดๆร้อนๆที่เกิดขึ้นบนรถตู้เมื่อวานนี้
หลายครั้งในชีวิต ที่เรากลัวอะไรที่เรามองไม่เห็นมากเกินไป…ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหรืออุปสรรคที่ขวางอยู่ข้างหน้า….หรือจะเป็นคุณยายอมรศรีที่เรากลัวกันนัก….
แต่ความกลัวนั้น…อาจเป็นกำแพงบางๆที่ขวางความสำเร็จอันงดงามที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้…….“ จงเลิกกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นเสีย…หรือกลัวให้น้อยลง..”
ผมเตือนตัวเอง ก่อนเดินเข้าไปพบครูสุพิณ บรรณารักษ์ที่เปรียบได้กับเอ็นไซโคพีเดีย(สารานุกรม)เคลื่อนที่
ผมนึกแล้วว่าถ้าประสบปัญหาอะไร ให้มาหาครูสุพิณ….. แล้วจะไม่ผิดหวัง..
ครูสุพิณกับผมช่วยกันค้นหาในอินเทอร์เน็ตคนละเครื่อง สืบค้นตามเว็บไซต์ต่างๆอยู่พักใหญ่ เจาะคำเกี่ยวกับวังสวนสุนันทาโดยเฉพาะราวชั่วโมงหนึ่ง
จนไปสะดุดกับคำว่า วังสวนสุนันทา ในเว็บไซต์หนึ่ง ที่มีผู้ที่เคยเรียนอยู่ที่นั่นเมื่อราว พ.ศ 2508 หรือราว 50 ปีเศษๆมาแล้ว
ท่านเรียบเรียงเรื่องราวไว้น่าสนใจ จนไปถึงท่อนนี้
“….ด้านนอกของตึก 27 นี้ ข้างหน้าเยื้องไปทางขวาริมคลอง เคยมีต้นสารภีใหญ่มากยืนอยู่ ในละครเรื่องเงาะป่า ตอนลำหับชมป่าที่กล่าวถึงสารภีว่า
โน่นแน่ะอุ๊ย สารภีไม่มีใบ เหมือนต้นไม้ทองตั้ง อยู่ทั้งคู่
แมลงล้อมตอมว่อนเสียงหวี่หวู่ ไม่มีผู้ช่วยสอย น้อยใจเอย
สารภีต้นนี้เคยออกดอกให้นักศึกษาเห็นว่าเหมือนต้นไม้ทอง
น่าเสียดายว่าไม่นานหลังจากออกดอก ก็ถูกตัวด้วงไชจนต้นตายไปใหไม่กี่ปีต่อมา
ที่ปากทางเข้าห้องใต้ดินของหลุมหลบภัยที่ “เนินพระนาง “ ที่เป็นที่สถิตของต้นแก้วเจ้าจอมต้นแรกในเมืองไทย เคยมีต้นไม้พุ่มหรือเลื้อยดอกหอม มารู้จักชื่อภายหลังว่าดอกโนรา
ลักษณะดอก มองด้านข้างเหมือนลูกเจี๊ยบขนปุยสีขาวมีเหลืองแซมตรงกลางดอก
อ่านถึงบรรทัดนี้….ผมเกิดความรู้สึกตื่นเต้น…วูบวาบ…ให้พิศวงกับเรื่องที่มันช่างตรงกันกับที่อรวรรณพูดเสียเหลือเกิน…..ผมไม่สามารถบรรยายได้ แต่ผมเชื่อ…ว่าถ้าใครได้เจอแบบผม “ พิศวงงงงวยยังช่วยยาก “ เท่านั้นที่จะบอกได้ดีที่สุด
ผมพิมพ์ข้อความเหล่านี้ขึ้นไปให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆในหมวดดู….เล่าเหตุการณ์เมื่อวานให้น้องๆฟัง แล้วอ่านเรื่องราวจากข้อความที่พิมพ์มาให้ทุกคนได้ฟัง
ทุกคนยกมือขึ้นพนมมือเหนือศีรษะ
“…เจ้าประคู๊ณ…คุณยายมาท่านเดียวไม่พอ นี่จะมากันทั้งคะนัง เงาะป่า ดอกโนรา และนางลำหับ ขยับกันมาทั้งสวนสุนันทาเชียวหรือนี่ ? “
ครูอ๊าฟรำพึง….ทุกคนให้ความเห็นชอบตามความคิดครูอ๊าฟเหมือนกัน
มีแต่ครูพรเพ็ญเท่านั้นที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา แล้วถามว่า
“ ยกมือไหว้พี่กันทำไมคะ? ”
นั่นล่ะ….พวกเราจึงเอามือลงและได้สลายตัวกันในทันใด
…เมื่อเย็นลง… ผมได้รับโทรศัพท์อันเป็นข่าวดีจากโก้ ร้านเพียรศรีโอสถเพื่อนรักโทรมาบอกว่า
“…เฮ้ย…ก้อง…ผมมีทิศทางจะตามหาคนที่คุณอยากพบแล้ว….ฟังดีๆนะ….
ผมรู้มาว่าเดี๋ยวนี้การแพทย์และสาธารณะสุขของพัทลุงเค้ามีการให้พยาบาลออกเยี่ยมเยียนให้การดูแลผู้สูงอายุตามชุมชนหรือตำบลต่างๆในจังหวัด….
อนามัยแต่ละตำบลเขาจะมีอาสาสมัครช่วยทำหน้าที่ดูแลหรือพยาบาลเบื้องต้นให้คนในชุมชนตนเอง…และอาสาสมัครพวกนี้จะส่งรายชื่อคนในพื้นที่ตนเองให้อนามัยนั้นๆทั้งหมด….
นั่นเท่ากับว่าอนามัยทุกอนามัยจะกรองชื่อคนได้ละเอียดยิบ….แทบจะทุกครอบครัวในจังหวัดพัทลุงเลยทีเดียว…”
โอ…พระพุทธเจ้าช่วยลูกแล้ว..!!!!!!!
” ก้องต้องไปหาเพื่อนผู้หญิงที่เป็นพยาบาลนะ….มันจะง่ายต่อการค้นหา…
แต่ผมแนะนำว่าก้องต้องไปหาไอ้นุชมันนะ…ไอ้นุชมันเป็นศูนย์รวมของเพื่อนผู้หญิงในรุ่น…เจอมันคนเดียว…เหมือนเจอเพื่อนทั้งจังหวัด..และแน่นอน…บรรดาพยาบาลก็อยู่ในเงื้อมมือไอ้นุชนั่นล่ะ…”
โก้อธิบายยาวยืด
ไอ้นุช..ที่โก้กล่าวถึง…คือนุช..สาวหล่อ มาดแมน ใจกว้าง ตัวกว้าง น้ำหนักเยอะ และฮาได้ทุกที่และทุกสถานะ
นุชเป็นจุดศูนย์รวมของเพื่อนๆที่ใครๆก็รู้จักดี…
จริงสิ…นุชรู้จักเพื่อนๆผู้หญิงมากมาย…เขาต้องช่วยผมได้มากถึงมากที่สุด
ผมไม่รอช้า…ขอเบอร์นุชจากโก้แล้วกดหาเพื่อนนุชของผมทันที
“…โห้ย…สบายมากครับก้อง…ได้เล้ยยย…เดี๋ยวนุชจัดให้…”
นุชยังมีน้ำใจกับเพื่อนเหมือนเดิมจริงๆ….แต่นุชไม่รู้หรอกว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร? รู้เพียงต้องตามหาคนที่พลัดพรากกันมานานในเวลาที่จำกัดให้เร็วที่สุด
นุชขอเวลาสองวันเพื่อตรวจดูว่าเพื่อนคนไหนเป็นพยาบาลอยู่ที่ไหนบ้าง
นั่นคือ 2 วันที่ผมรอคอยด้วยความตื่นเต้นที่สุด
“ โอ๊ววว… ผมรู้สึกราวกับว่าคุณยายบัวคลี่กำลังลอยมา แล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมนี่แล้ว….เหลือแต่เพียงผมจะหรี่ตา จ้องมองหน้าคุณยายให้ถนัดถนี่
ค่อยๆยื่นมือออกไปหาคุณยาย แล้วสัมผัสกับแขนอันอ่อนนุ่มของคุณยายให้ได้ในเวลานี้
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!