รู้จัก กริพเพน เครื่องบินขับไล่ ที่ทัพไทยใช้สู้รบจริงครั้งแรกของโลก

    เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 กองทัพอากาศไทยได้จารึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ด้วยการนำ เครื่องบินขับไล่ JAS 39 Gripen หรือที่รู้จักกันในนาม "กริพเพน" ฉายาฉลามอันดามัน ออกปฏิบัติภารกิจโจมตีทางอากาศจริงเป็นครั้งแรกของโลก ณ ยุทธบริเวณภูมะเขือและปราสาทตาเมือนธม เพื่อตอบโต้และสกัดกั้นการรุกรานจากทหารกัมพูชาที่ใช้ปืนใหญ่วิถีโค้งโจมตีแนวชายแดนไทย

ภารกิจสู้รบจริงครั้งแรกของ "กริพเพน"
ในปฏิบัติการดังกล่าว กองทัพอากาศได้ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพนอีก 2 ลำ เข้าโจมตีเป้าหมายฝ่ายตรงข้ามซึ่งถูกระบุว่าเป็นจุดติดตั้งปืนใหญ่และอาวุธวิถีโค้งที่ยิงเข้ามายังฝั่งไทย ภารกิจนี้ดำเนินไปอย่างแม่นยำและรวดเร็ว เป้าหมายถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ และเครื่องบินทุกเครื่องสามารถเดินทางกลับฐานได้อย่างปลอดภัย

การปฏิบัติการครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เครื่องบินกริพเพนถูกใช้งานในภารกิจรบจริงพร้อมการปลดปล่อยอาวุธต่อเป้าหมาย ซึ่งแตกต่างจากภารกิจในอดีต เช่น การลาดตระเวนทางอากาศในทะเลบอลติกโดยกองทัพอากาศสวีเดน หรือการเฝ้าระวังน่านฟ้าในลิเบีย ที่ไม่มีการยิงอาวุธจริงในสถานการณ์รบ

จุดเด่นทางเทคโนโลยีของ "กริพเพน"

1. Data Link T: ระบบเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์
หัวใจสำคัญของการพัฒนารูปแบบสงคราม "Network Centric Warfare" ของกองทัพอากาศไทย ระบบนี้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเครื่องบินรบด้วยกันเอง, ศูนย์บัญชาการภาคพื้น และกองทัพเรือไทยได้อย่างแม่นยำ ทำให้การแบ่งปันเป้าหมาย, ประเมินภัยคุกคาม และวางแผนการโจมตีแบบประสานงานเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. เรดาร์ AESA (Active Electronically Scanned Array)
กริพเพนติดตั้งเรดาร์ PS-05/A รุ่นปรับปรุง หรือเรดาร์ AESA รุ่นใหม่ในรุ่น E ซึ่งสามารถตรวจจับเป้าหมายได้ไกลกว่า 200 กิโลเมตร ติดตามเป้าหมายได้หลายเป้าหมายพร้อมกัน ทั้งทางอากาศ ภาคพื้น และทะเล ในทุกสภาพอากาศ ด้วยเทคโนโลยี Low Observable Tracking ทำให้สามารถโจมตีได้ก่อนที่เป้าหมายจะตรวจพบ

3. รองรับขีปนาวุธ Meteor: พิสัยยิงไกล
สามารถติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศระยะไกล MBDA Meteor ซึ่งมีพิสัยยิงเป้าหมายได้ไกลกว่า 150 กิโลเมตร พร้อมความแม่นยำสูง และระบบเรดาร์ควบคุมตัวเองแบบ Active Radar Homing

4. ระบบ Avionics และ Cockpit ล้ำสมัย
ห้องนักบินเป็นแบบ Glass Cockpit พร้อมหน้าจอสัมผัสและระบบ HUD (Head-Up Display) มีระบบอัตโนมัติสูงช่วยให้นักบินมีภาระงานต่ำกว่าเครื่องบินขับไล่อื่นๆ และระบบช่วยตัดสินใจแบบ Real-Time Decision Support สำหรับการโจมตีและการป้องกันตัว

5. ต้นทุนการบินต่ำและดูแลง่าย
กริพเพนโดดเด่นด้วยค่าใช้จ่ายในการบินที่ต่ำเพียง 160,000 บาทต่อชั่วโมง เทียบกับ F-16 (270,000 บาท) และ SU-30 (400,000 บาท) นอกจากนี้ยังใช้เจ้าหน้าที่ภาคพื้นน้อยกว่า 50% เมื่อเทียบกับเครื่องบินตะวันตกทั่วไป ทำให้บำรุงรักษาง่าย ชิ้นส่วนอะไหล่น้อย ช่วยลดความซับซ้อนและเวลาในการนำเครื่องกลับขึ้นบิน

6. รันเวย์สั้น: ปฏิบัติการได้ทุกสนามบิน
กริพเพนใช้รันเวย์ในการขึ้นเพียง 400 เมตร และร่อนลง 600 เมตร ทำให้สามารถรองรับการปฏิบัติการจากสนามบินขนาดเล็กหรือแม้กระทั่งถนนในภาวะฉุกเฉิน

7. เปิดโอกาสให้ไทยต่อยอดพัฒนา
บริษัท Saab ผู้ผลิต ได้อนุญาตให้ไทยสามารถพัฒนาต่อยอดระบบ Data Link และ Software เองได้ พร้อมถ่ายโอนเทคโนโลยีบางส่วน และให้ทุนการศึกษาแก่บุคลากรไทย ซึ่งเป็นการเสริมสร้างโอกาสด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในระยะยาว

การที่ "กริพเพน" ถูกใช้งานจริงในการสู้รบครั้งนี้ ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงขีดความสามารถและเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของเครื่องบินขับไล่รุ่นนี้ รวมถึงศักยภาพของกองทัพอากาศไทยในการปกป้องอธิปไตยของชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ