บันทึกฝรั่งชี้ เสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2 ไทย-จีนพากันล่ำซำ


บันทึกฝรั่งชี้ เสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2 ไทย-จีนพากันล่ำซำ


บันทึกฝรั่งชี้ เสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2 ไทย-จีนพากันล่ำซำ ได้โอกาสปล้นทองที่ซ่อนตามวัด

การเล่าประวัติศาสตร์สมัย เสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2310 พม่าย่อมตกเป็นผู้ร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อพม่าได้ชัยชนะแล้วก็เปิดฉากเผาและปล้นเอาทรัพย์สมบัติของกรุงศรีฯ ไปเป็นอันมาก คนไทยจำนวนหนึ่งถึงขนาดร่ำลือกันไปว่า ทองที่หุ้มเจดีย์ชเวดากองนั้นก็เป็นทองที่ปล้นไปจากอยุธยา

อย่างไรก็ดี เจดีย์ชเวดากองสร้างขึ้นก่อน "เสียกรุงศรีอยุธยา" หลายร้อยปี (นักประวัติศาสตร์คาดว่าน่าจะสร้างขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6-10) และประเพณีหุ้มทองเจดีย์ก็อาจมีมานานแล้วก็ได้ แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ พม่าคงจะร่ำรวยขึ้นพอควรจากการปล้นกรุงศรีฯ ในครั้งนั้น

ในขณะเดียวกัน คนที่รวยขึ้นผิดหูผิดตาก็ไม่ได้มีแต่ฝ่ายพม่าเท่านั้น บาทหลวงฝรั่งเศส เล่าว่า หลังสงครามครั้งนี้ ไทย-จีน ก็พากันล่ำซำขึ้นไม่น้อย เพราะได้โอกาสปล้นวัดวาซึ่งถือเป็นแหล่งรวมความมั่งคั่งจากศาสนิกผู้ศรัทธาเมื่อครั้งบ้านเมืองยังดี

จดหมายของมองซิเออร์คอร์ ถึงมองซิเออร์มาธอน ลงวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1769 (พ.ศ. 2312) บอกเล่าถึงสภาพบ้านเมืองครั้งนั้นว่า พอสงครามสิ้นสุดลง เศรษฐกิจก็ฝืดเคือง ข้าวยากหมากแพงเป็นอันมาก

"ค่าอาหารการรับประทานในเมืองนี้แพงอย่างที่สุด เวลานี้ข้าวสารขายกันทะนานละ 2 เหรียญครึ่ง คนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างนั้นถึงจะหมั่นสักเพียงไร ก็จะหาซื้ออาหารรับประทานแต่คนเดียวก็ไม่พอ"

ฝรั่งต่างชาติจึงต้องใช้ชีวิตอย่างอัตคัด โดยเฉพาะ
"พวกที่อ้างตัวว่าเป็นโปรตุเกสนั้นดูเหมือนจะเดือดร้อนยิ่งกว่าคนอื่นมาก เพราะพวกนี้ไม่ละความเกียจคร้านหรือลดหย่อนความหยิ่งของตัวเลย ร้องแต่ว่าทุนไม่มีจึงไม่ได้ทำการไร นอกจากนอนขึงอยู่บนเสื่อตั้งแต่เช้าจนเย็น ส่วนพวกเข้ารีตของเรานั้นพอจะเอาตัวรอดได้ เขาไม่ได้รบกวนใครแต่ทำมาหาเลี้ยงชีพของตัวเองไป"

ส่วน พวกไทย-จีน นั้นเห็นจะไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไหร่ เพราะมีวัดเป็นที่พึ่ง คนกลุ่มนี้จึงหันเข้าหาวัด แต่มิได้หวังจะหาที่พึ่งทางธรรม หรือหาข้าวก้นบาตรประทังชีวิต กลับมุ่งหาทรัพย์สินที่ถูกซุกซ่อนตามวัด ไม่ว่าจะถูกฝังดิน ใส่เจดีย์ หรือเก็บซ่อนไว้ในองค์พระ ดังความที่มองซิเออร์คอร์ ท่านเล่าว่า

"ฝ่ายพวกจีนและพวกไทยเห็นว่าการเลี้ยงชีพเป็นการฝืดเคือง จึงได้หันเข้าหาวัดโดยมาก เพราะพวกไทยด้วยความเชื่อถืออะไรของเขาอย่าง 1 ได้เอาเงินและทองบรรจุไว้ในองค์พระพุทธรูปเป็นอันมาก เงินทองเหล่านี้บรรจุไว้ในพระเศียรก็มี ในพระอุระก็มี ในพระบาทก็มี และตามพระเจดีย์ต่างๆ ได้บรรจุไว้มากกว่าที่แห่งอื่น ท่าน [มองซิเออร์มาธอน] คงจะคาดไม่ถูกเป็นแน่ว่าพวกไทยได้เอาเงินทองที่ซุกซ่อนไว้เป็นจำนวนมากมายสักเท่าไร"

"ในพระเจดีย์องค์เดียวเท่านั้นได้มีคนพบเงินถึง 5 ไห และทอง 3 ไห ผู้ใดที่ทำลายพระพุทธรูปลงแล้วไม่ได้เหนื่อยเปล่าจนคนเดียว เพราะฉะนั้นโดยเหตุที่พวกจีนมีความหมั่นเพียรและเป็นคนชอบเงินมาก ประเทศสยามจึงยังคงบริบูรณ์อยู่เท่ากับเวลาก่อนพม่ายกเข้ามาตีกรง ทองคำเป็นสิ่งหาง่ายจนถึงกับหยิบกันเล่นเป็นกำๆ"

และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว เจดีย์ที่ถูกทุบทำลายก็ถูกทำเป็น "เตาหลอม" โลหะมีค่าเสียเลย มองซิเออร์คอร์ยังบอกว่า


"ตามถนนหนทางเต็มไปด้วยถ่านและเศษทองแดง และตามทางเดินดำยิ่งกว่าปล่องไฟเสียอีก พระราชธานีของเมืองไทย ตลอดทั้งวัดวาอารามและบ้านของเรากับค่ายโปรตุเกสเหมือนกับเป็นสนามอันใหญ่ที่มีแต่คนขุดคุ้ยพรุนไปหมดทั้งนั้น"

ด้วยเหตุนี้ คงกล่าวได้ไม่ผิดว่า แม้พม่าจะถือเป็น "จำเลย" ตัวหลักในการสร้างความเสียหายให้กับกรุงศรีอยุธยา แต่จริงๆ แล้วยังมีจำเลยอีกกลุ่มที่ถูกมองข้ามมาตลอดก็คือคนท้องถิ่นที่รอดชีวิตมาได้ แต่หมดหนทางหากินจึงหันหน้าเข้าหาวัด (และปล้นเอาทรัพย์สินของวัด) นั่นเอง



บันทึกฝรั่งชี้ เสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2 ไทย-จีนพากันล่ำซำ

สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 บ้านเมืองถึงคราววิบัติ "ล่มสลาย" บ้านแตกสาแหรกขาด ภาพนี้เป็นจิตรกรรมฝาผนังจัดแสดงภายในอาคารภาพปริทัศน์ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ

เครดิตแหล่งข้อมูล : silpa-mag.com


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์